ฟองครีมนุ่มๆ ราวกับปุยเมฆโปะทับอยู่ด้านบน ตัดกับสีน้ำตาลไหม้ของกาแฟที่ผสมเข้ากับวิสกี้อยู่ก้นแก้ว นี่คือเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ทั่วโลกคุ้นชินและเรียกติดปากกันว่า ‘กาแฟไอริช’ (Irish coffee)
การเสิร์ฟกาแฟผสมด้วยวิสกี้ดังกล่าวนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศไอร์แลนด์ และเป็นที่โด่งดังไปหลายทวีปทั่วโลก ในประเทศสหรัฐอเมริกา ร้านบูเอน่า วิสต้า (Buena Vista) กลายเป็นคาเฟ่ที่ขึ้นชื่อมากในเรื่องของกาแฟไอริช จนถึงปัจจุบันสามารถบอกตัวเลขคร่าวๆ ได้ว่า ร้านนี้ชงกาแฟผสมเหล้าสูตรไอริชไปถึง 30 ล้านแก้วแล้ว นับตั้งแต่เริ่มเสิร์ฟแก้วแรกเมื่อปีค.ศ.1952
นอกจากนี้ ความโด่งดังของกาแฟสูตรดังกล่าว ยังทำให้หมู่บ้านเล็กๆ ที่อดีตเคยเป็นสนามบินฟอยส์ในไอร์แลนด์ มีการจัดงานเทศกาลกาแฟไอริช (Irish Coffee Festival) ขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปี และได้รับความสนใจจนจัดมาได้กว่า 37 ปี โดยล่าสุดเพิ่งจัดไปช่วงปลายเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา
กาแฟไอริชเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผสมเข้ากับกาแฟ
ขณะที่ในประเทศไทยเอง การดื่มเหล้าคู่กับกาแฟอาจไม่ค่อยได้เห็นมากนัก แต่ถ้าลองนึกถึงภาพบรรยากาศการเดินไปซื้อของตามตลาดนัดในช่วงเวลาพลบค่ำ แล้วเดินผ่านร้านขายน้ำ หลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินการสั่งเมนูน้ำปั่น ‘เหล้าขาวผสมกับเครื่องดื่มชูกำลัง’ กันเป็นปกติเหมือนสั่งเมนูเครื่องดื่มอื่นๆ ทั่วไป
หรือจะเป็นภาพใบปิดโฆษณาของเครื่องดื่มชูกำลังชนิดหนึ่งสมัยปีพ.ศ. 2520 ที่ตอกย้ำว่าการผสมเครื่องดื่มของสองอย่างที่ว่ามานี้แทบจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เนื่องจากตัวอักษรในภาพโฆษณาระบุว่า สามารถใช้เครื่องดื่มชูกำลังผสมกับเหล้าขาว เพื่อกลายเป็นวิสกี้ชั้นดีในราคาที่ประหยัดเงินในกระเป๋า
ดังนั้น ‘เหล้าเข้มๆ กับ คาเฟอีน’ จึงอาจเป็นเมนูเครื่องดื่มที่ใครหลายคนเคยดื่ม หรือดื่มเป็นประจำเลยก็ว่าได้
แต่ทว่าจากการรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง พบว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผสมเข้ากับคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังเหล่านี้ ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมากกว่าการดื่มแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว
คาเฟอีนทำให้ตื่น แอลกอฮอล์ทำให้หลับ?
ก่อนเข้าเรื่องอันตรายต่อร่างกายจากการดื่มแอลกอฮอล์ผสมคาเฟอีน Alcohol Rhythm อยากให้คุณทำความรู้จักกับผลเสียในส่วนผสมทั้ง 2 ชนิดแบบแยกออกจากกันเสียก่อน
เริ่มต้นจาก คาเฟอีน ส่วนผสมชนิดนี้ถือว่าเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยลดอาการมึนงงหรือง่วงนอนด้วยการไประงับสารอะดีโนซีนที่เพิ่มขึ้น (อะดีโนซีน Adenosine คือ สารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ลดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง เพื่อช่วยในการนอนหลับ หากมีสารเคมีนี้สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอน)
เมื่อคาเฟอีนไปบล็อกตัวรับอะดีโนซีนหรือตัวจับอะดีโนซีนในสมอง จะทำให้เราตื่นตัว ไม่รู้สึกง่วง แน่นอนว่าถ้าเราดื่มคาเฟอีนบ่อยเข้าก็อาจทำให้นอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ จนร่างกายอ่อนเพลียและโรคต่างๆ ถามหา ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดในสมองตีบ หรือเลวร้ายกว่านั้น คือ เกิดอาการทางจิตร่วมด้วย
นอกจากนี้คาเฟอีนยังสามารถออกฤทธิ์กับส่วนอื่นๆ อาทิ หัวใจ ผลข้างเคียงของมันทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น เกิดอาการสั่น มึนหัว ขาดน้ำ นอนไม่หลับและเกิดอาการวิตกกังวล
แต่ในส่วนของ แอลกอฮอล์ นั้นมีการออกฤทธิ์ที่ค่อนข้างแตกต่างจากคาเฟอีน
โดยแอลกอฮอล์ช่วยทำให้มีระดับอะดีโนซีนในระบบประสาทสูงขึ้น เป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงเกิดอาการง่วงหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ แถมร่างกายยังตอบสนองช้าลง จะทำอะไรก็เชื่องช้า สะลึมสะลือไปหมด อีกทัั้งทำให้สูญเสียความสามารถในการคิดตัดสินใจอีกด้วย
ทั้งนี้ แอลกอฮอล์กับคาเฟอีนมีผลกระทบด้านลบที่คล้ายกันอยู่ กล่าวคือ ทั้งสองอย่างสามารถเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือด ซึ่งทำให้ผู้ดื่มเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวได้ ฉะนั้น เมื่อดื่มทั้งสองอย่างเข้าไปพร้อมกันจะทำให้เกิดผลกระทบดังกล่าวสูงกว่าการเลือกดื่มอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ว่าขึ้นอยู่กับปริมาณที่ดื่มด้วย
เมื่อ ‘คาเฟอีน’ ผสม ‘แอลกอฮอล์’ อาจทำให้เราดื่มมากขึ้น?
ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนตั้งข้อสังเกตว่า ‘ทำไมการผสมคาเฟอีนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจอันตรายมากกว่าการดื่มแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว’ และคำตอบง่ายๆ คือ เมื่อทั้งสองอย่างถูกผสมเข้าด้วยกัน คาเฟอีนสามารถกดการออกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ได้ ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกตื่นตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ดื่มก็จะสามารถดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น จนสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองมากกว่าที่ตัวเองรู้สึก และเสี่ยงต่ออันตรายที่เกิดขึ้นจากการดื่มแอลกอฮอล์ หรือเสี่ยงกับภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษมากกว่าปกติ
แต่เพราะกาเฟอีน ทำให้เรารู้สึก ‘เมายาก’ ขึ้น ทำให้มีคนไม่น้อยนิยมผสมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน งานศึกษาหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาปีค.ศ. 2017 ระบุว่า นักเรียนกว่า 10.6% ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 4 และ 6 ตลอดจนวัยรุ่นอายุ 19-28 ปี 31.8% มีการบริโภคแอลกอฮอล์ผสมกับเครื่องดื่มชูกำลัง อย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี
ส่วนการศึกษาจากกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายมิชิแกน (Michigan High School) พบว่า ในกลุ่มบุคคลที่ดื่มหนัก มีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ผสมเครื่องดื่มชูกำลังมากกว่าคนที่ไม่ดื่มหนักถึง 49% โดยเครื่องดื่มยอดนิยมที่ถูกนำไปผสมบ่อยสุดคือเหล้ากลั่น
นอกจากนี้ ยังมีงานศึกษาพบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ดื่มอายุ 15-23 ปี ที่ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์กับเครื่องดื่มชูกำลัง มีแนวโน้มจะดื่มมากขึ้นเป็น 4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ดื่มแอลกอฮอล์เพียวๆ อย่างเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบแนวโน้มว่าคนเหล่านี้มีความเสี่ยงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่มีการป้องกัน การเมาแล้วขับ และอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ มากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ผสมคาเฟอีนอีกด้วย
ดังเช่นในงานศึกษาของทรอมบส์ (Thombs) และคณะ ที่ทำการวิเคราะห์ลูกค้า 802 คน ในเขตบาร์บริเวณมหาลัยในสรัฐอเมริกา พบว่า เมื่อเทียบระหว่างกลุ่มผู้ดื่มแอลกอฮอล์อย่างเดียวกับผู้ดื่มสองอย่างผสมกัน กลุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์กับคาเฟอีนเสี่ยงต่อการมีแอลกอฮอล์ในระดับที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดมากกว่าถึง 3 เท่า และระบุว่าตั้งใจจะขับยานยนต์เมื่อออกจากเขตบาร์มากกว่า 4 เท่า ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจว่าตัวเองไม่ได้ ‘เมา’ และไม่ ‘ง่วง’ นั่นเอง
แม้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผสมคาเฟอีนอาจเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม ทว่าในเดือนพฤศจิกายน 2553 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้ประกาศไม่สนับสนุนให้มีการวางจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผสมคาเฟอีนวางจำหน่ายในตลาด โดยให้เหตุผลว่าเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ปลอดภัย รวมถึงควรนำสารกระตุ้นอื่นๆ นอกจากคาเฟอีนออกจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
ดังนั้น การเลือกดื่มแอลกอฮอล์กับคาเฟอีน หรือสารกระตุ้นต่างๆ เพราะหวังว่าจะทำให้เรารู้สึกเมาได้น้อยลง สนุกได้นานขึ้น แท้จริงแล้ว อาจไม่ปลอดภัยหรือเป็นผลดีกับร่างกายอย่างที่คิดก็เป็นได้
อ้างอิง
เปิดตำรับ ‘Irish coffee’ ค็อกเทลกาแฟข้ามแอตแลนติก
What Actually Happens When You Combine Alcohol and Caffeine?
Alcohol and Caffeine: The Perfect Storm
เรื่องและภาพ: ทีมงาน Alcohol Rhythm