ในสังเวียนโหดหินอย่างฮอลลีวูด ชื่อชั้นของ แบรด พิตต์ (Brad Pitt) ไม่เคยห่างหายไปจากการปรากฏตัวในแวดวงหรือหน้าสื่อ เขาคือหนึ่งในคนที่รั้งตำแหน่งนักแสดงแถวหน้ามาเกือบสามทศวรรษตั้งแต่จับคู่ร่วมงานกับผู้กำกับคู่บุญอย่างเดวิด ฟินเชอร์ใน Se7en (1995) เรื่อยมาจนล่าสุด เขาเพิ่งคว้ารางวัลสมทบชายยอดเยี่ยมเวทีลูกโลกทองคำจากบทสตันต์แมนผู้ภักดีใน Once Upon a Time… in Hollywood (2019)
แน่แท้ว่าชื่อเสียงและความสำเร็จนำพาเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐฯ มาสู่พิตต์ ขณะเดียวกัน เงินยังเป็นใบเบิกทางชั้นดีให้เขาเข้าถึงแอลกอฮอล์และยาเสพติดสารพัดชนิด จนในเวลาต่อมา พิตต์ก็ใช้สิ่งเหล่านี้ปลอบโยนตัวเองในช่วงขาลงของชีวิต กล่าวกันว่าช่วงหนึ่ง ปาปารัซซี่มักจะดักเจอตัวพิตต์ได้พร้อมๆ กับขวดเหล้าและบุหรี่ในมือเสมอ กินเวลาอีกหลายปีทีเดียวกว่าพิตต์จะเอาตัวเองออกห่างจากสิ่งเสพติดที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยพาเขาหลีกหนีความจริงไปได้
อันที่จริง พิตต์เป็นเด็กชายที่เติบโตมากับครอบครัวและสังคมเคร่งศาสนา อยู่ห่างจากเหล้ายาแทบจะคนละขอบโลก ใช้ชีวิตในโรงเรียนด้วยการเป็นนักกีฬาตัวกลั่น เข้าเรียนวิทยาลัยในตัวเมือง แต่ลาออกกลางทางเพื่อไล่ตามฝันเป็นนักแสดงกับค่าตัวแรกเริ่มแค่ไม่กี่พันเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดแรกเริ่มที่ทำให้ชีวิตของพิตต์วนเวียนอยู่กับเหล้ายา
“นับตั้งแต่ออกจากวิทยาลัย ผมก็จำไม่ได้แล้วว่ามีวันไหนบ้างที่ไม่เมา” เขาเล่า “มันเบลอไปหมด รู้ตัวอีกทีรอบๆ คุณก็มีแต่บุหรี่หรืออะไรต่อมิอะไรที่ทำให้คุณลอยเคลิ้ม ผมแค่อยากหนีออกจากสิ่งที่ตัวเองรู้สึกแค่นั้นล่ะ และรู้สึกดีด้วยที่ได้ทำแบบนั้น ในที่สุด ตอนที่เริ่มมีครอบครัวของตัวเอง ผมก็ทำทุกอย่างยกเว้นเลิกเหล้า”
“มันตั้งแต่ยุค 90 ที่อยู่ดีๆ ก็เหมือนว่าทุกคนพุ่งความสนใจมาที่ผม” พิตต์เล่าอย่างอึดอัด เพราะนับตั้งแต่เขาปรากฏตัวในบทหนุ่มฮ็อตจากหนังของริดลีย์ สก็อตต์อย่าง Thelma & Louise (1991) เรื่อยมาจน Se7en เขาก็ไม่เคยห่างหายจากความสนใจของสื่อมวลชนเลย “แล้วผมก็ไม่ได้ชอบเท่าไรด้วยนะ เหมือนอยู่ดีๆ ทุกคนก็เอาแต่วิจารณ์คุณมั่ง คาดหวังคุณมั่ง ตัดสินคุณมั่ง”
ในช่วงเวลานั้น พิตต์แทบจะเป็นทุกอย่างของฮอลลีวูด เขาคือนักแสดงชายหน้าหล่อที่มีค่าตัวสูงสุด ควงกับนักแสดงสาวลำดับต้นๆ ของวงการอย่าง เจนนิเฟอร์ อนิสตัน มีหนังเข้าฉายให้ได้เห็นหน้ากันทุกปี ทั้งหนังขายหล่อแบบ Meet Joe Black (1998) ที่ทำเงินไป 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหนังดิบเถื่อนที่กลายเป็นหนึ่งในหนังอมตะที่สุดเรื่องหนึ่งของเขาอย่าง Fight Club (1999) เรื่อยมาจนต้นปีของอีกทศวรรษอย่าง Ocean’s Eleven (2001), Troy (2004) และ Mr. & Mrs. Smith (2005) หนังทำเงินของ ดักจ์ ไลแมน ที่จับเอาพิตต์มาขึ้นจอคู่กับนักแสดงฝ่ายหญิงผู้ทรงพลังที่สุดของยุคนั้นอย่างแองเจลิน่า โจลี่
เมื่อมีข่าวคราวว่าพิตต์เลิกกับอนิสตันเพื่อไปคบกับโจลี่ ทั้งที่ยังไม่ทันจะปิดกล้องดี ชื่อของพิตต์จึงอยู่บนพาดหัวของหนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์ทุกเจ้าอีกครั้ง จนเขาต้องหาทางหลีกหนีข่าวสารเหล่านี้ด้วยเหล้าและกัญชา
พิตต์ไม่เคยปกปิดเรื่องติดแอลกอฮอล์ -หรืออย่างน้อยก็พยายามปิดแล้วแต่ไม่อาจหลุดรอดสายตาแหลมคมของสื่อไปได้- เขาดื่มหนักมาตลอดจนรู้ตัวอีกทีก็ก่อปัญหาสารพัดที่ทำให้คนรอบตัวทนไม่ได้ แม้แต่โจลี่ ซึ่งในเวลาต่อมาแต่งงานและสร้างครอบครัวด้วยกันกับเขายังออกมาเปรยๆ ว่าพิตต์มีปัญหาเรื่องติดสุราเรื้อรัง ก่อนที่ข่าวการจบความสัมพันธ์ของ ‘โจลี่-พิตต์’ ในปี 2016 จะยิ่งทำให้พิตต์อาการแย่ลง เขาแทบไม่ปรากฏตัวออกสื่อและเป็นที่ร่ำลือกันว่าพิตต์ในวัย 50 จมดิ่งอยู่กับเหล้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อโจลี่ขอหย่าพร้อมยื่นเรื่องเลี้ยงดูลูกทุกคน ทั้งลูกแฝดและลูกบุญธรรมทั้งหมด
“มันหนักหนาเกินกว่าที่ผมจะรับไหวไปมาก ผมเมาเละเทะ” พิตต์ยอมรับตรงๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอีกสองสามปีให้หลัง “แล้วตอนนั้นล่ะที่มันมีแค่ปัญหา ซึ่งผมดีใจนะที่ผ่านมันมาได้ในที่สุด มันชวนช้ำใจอยู่ก็จริง แต่ที่สุดแล้ว ปลายนิ้วผมก็เริ่มกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง”
ในที่สุด หลังผ่านมรสุมชีวิต พิตต์เริ่มต้นเลิกเหล้า แต่ก็กินเวลาพักใหญ่กว่าที่ร่างกายของเขาจะกลับฟื้นคืนมาแข็งแรงเหมือนเคย เพราะไม่ใช่แค่ต้องห่างจากเหล้าและเบียร์ รวมถึงไวน์สารพัดชนิดที่เขาโปรดปรานมาโดยตลอด แต่ยังต้องคุมอาหารอย่างเข้มงวด ตามที่พิตต์บอกอย่างภาคภูมิใจว่า “ผมต้องดื่มพวกน้ำผลไม้แคนเบอร์รี่หรือไม่ก็พวกโซดาแทน สาบานได้เลยว่าตอนนี้ท่อปัสสาวะผมนี่สะอาดที่สุดในแอลเอแล้ว”
นอกจากนี้ เขายังเข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้าอย่างจริงจัง เพื่อพบว่ามันไม่ใช่แค่กระบวนการพาตัวเองออกจากแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเผชิญหน้ากับปัญหาและการยอมรับตัวเองด้วย “มันเลวร้ายมาก ผมต้องนั่งสำรวจความรู้สึกตัวเองอย่างละเอียด พยายามเข้าใจมัน วางตำแหน่งแห่งที่ให้มัน จนที่สุดแล้ว ผมก็ต้องยอมรับว่าผมเป็นทุกอย่างที่ตัวเองเกลียด มันเป็นส่วนหนึ่งของผมและผมไม่อาจปฏิเสธมันได้อีกแล้ว เราได้แต่ต้องยอมรับมันน่ะ”
พิตต์หมกมุ่นอยู่กับงานฝีมือยิบย่อยเพื่อช่วยดึงสมาธิออกห่างจากแอลกอฮอล์ เขาปั้นดินเผา แกะสลักไม้ และสร้างงานชิ้นเล็กชิ้นน้อยในแบบที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองทำได้มาก่อน (“แหม เอาจริงๆ ผมเซอร์ไพรส์ตัวเองมากนะ” เขาว่า) มันช่วยพาเขาออกห่างจากความสับสนของแสงสี เหล้ายา และดึงให้เขาอยู่กับตัวเองได้นานหลายชั่วโมง จนกระทั่งกลับมารับงานแสดงและดูแลบริษัททำหนังได้ในที่สุด
จนถึงนาทีนี้ พิตต์ห่างหายจากอาการติดแอลกอฮอล์แล้ว เขาอาจจะดื่มเหล้าและไวน์บ้างตามโอกาส แต่ก็ระมัดระวังตัวไม่ให้หวนกลับไปรับมันมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอีก “ผมว่ามันเป็นความท้าทายหนึ่งในฐานะมนุษย์เลยนะ ว่าคุณจะปฏิเสธความรู้สึกทุกอย่างในชีวิตทิ้งไป หรือโอบรับมันมาทั้งหมดแล้วก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของตัวเองน่ะ”
ที่มา :
เรื่องและภาพ: ทีมงาน Alcohol Rhythm