เลิกเหล้ามันอยู่ที่ (เข้า) ใจ ความคิดและพฤติกรรม : สำรวจการบำบัดแบบ CBT (Cognitive Behavior Therapy)

September 4, 2019


หลายคนอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘เลิกเหล้ามันอยู่ที่ใจ’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การดื่มและการเลิกดื่มนั้นแวดล้อมไปด้วยเหตุผล แรงจูงใจ สิ่งแวดล้อม ผู้คนรอบข้าง หรือในบางกรณีอาจรวมไปถึงร่างกายและสมองด้วย ด้วยเหตุนี้การใช้ใจเลิกเหล้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถพาผู้มีปัญหาการดื่มไปถึงฝั่งได้

ผศ.นพ.ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เป็นจิตแพทย์ อาจารย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรม หรือ CBT (Cognitive Behavior Therapy)  ในประเทศไทย ได้เผยวิธีการเลิกเหล้าแบบ CBT ที่เริ่มต้นจากการ ‘พูดคุย’ ทำความเข้าใจเหตุผลในการดื่ม สำรวจสภาพแวดล้อม และหาทางออกใหม่ๆ ให้กับเหตุผลของแต่ละคน

วิธีการแบบ CBT ยังให้มุมมองที่น่าสนใจมากมาย ตั้งแต่ประเด็นที่ว่า การเลิกเหล้าอาจไม่สามารถทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว การกลับไปดื่มแล้วเลิกใหม่ อาจช่วยให้การเลิกในครั้งต่อไปทำได้นานขึ้น ไปจนถึงผลกระทบทางสมองที่เกิดเมื่อดื่มหรือใช้สารเสพติดเป็นเวลานาน อาจทำให้การบำบัดโดยแพทย์หรือนักบำบัดจำเป็นกว่าที่คุณคิด

Alcohol Rhythm เปลี่ยนจังหวะชีวิตคนติดเหล้า ชวนคุณสำรวจวิธีการบำบัดการดื่มและสารเสพติดแบบ CBT และมุมมองใหม่ๆ ที่อาจทำให้คุณเห็นฝั่งฝาของการเลิกเหล้าได้อย่างเข้าใจ ผ่อนปรน และมั่นคงขึ้น

CBT (Cognitive Behavior Therapy) คืออะไร ต่างจากการเข้าพบและรักษากับจิตแพทย์อย่างไร

CBT คือจิตบำบัด คือการพูดคุยแลกเปลี่ยน เพื่อบำบัดปัญหาที่เราอยากจะจัดการ ดั้งเดิมแล้วมันเป็นศาสตร์ที่ใช้กับโรคซึมเศร้า โดยมีหลักการอยู่ว่า คนซึมเศร้าเพราะมีวิธีคิดที่บิดเบือนจนทำให้เกิดความเศร้าขึ้นมา เช่น คิดโทษตัวเองว่าตัวเองไม่ดี คิดมองโลกในแง่ลบมากเกินไป CBT ก็เลยมีกระบวนการที่จะปรับความคิด หรือ cognitive เพื่อให้อารมณ์เศร้าดีขึ้น อีกส่วนคือการปรับพฤติกรรม หรือ behavior เพราะพฤติกรรมบางอย่างถ้ายังทำอยู่ก็อาจเสริมให้เศร้าต่อไป เช่น การไม่ออกไปไหน เก็บตัวอยู่กับบ้าน ในทางตรงกันข้ามถ้าเปลี่ยนพฤติกรรม ทำตัวให้แอคทีฟขึ้น อาการเศร้าก็จะลดลง

จิตแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวินิจฉัยโรคก่อนว่าคนไข้เป็นอะไร พอได้ผลวินิจฉัย แพทย์ก็จะวางแผนรักษา ซึ่งมีทั้งส่วนของการใช้ยาในกรณีที่พบว่าอาการเกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมอง และอีกส่วนหนึ่งเรียกว่าการรักษาทางจิตสังคม เป็นการรักษาแบบไม่ใช้ยา แต่ใช้การพูดคุย ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ครอบครัวบำบัด เอาครอบครัวมาคุยกัน, การให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำเฉยๆ, จิตบำบัดแขนงดั้งเดิม ของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่เรียกว่า Psychodynamics หรือ Psychotherapy ไปจนถึง CBT ที่เป็นส่วนนึงในการรักษาทางจิตสังคมเช่นกัน

CBT ถูกใช้มาหลายสิบปีแล้ว จากที่ใช้กับโรคซึมเศร้าแล้วได้ผลดี ก็เลยถูกเอาไปใช้กับปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตหรือการใช้ชีวิตทั้งหลาย เช่น วิตกกังวล อารมณ์โกรธ การใช้สารเสพติด ผู้มีปัญหาการกิน ฯลฯ ในช่วงหลัง ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตทุกอย่างจะมี CBT เข้ามาเป็นองค์ประกอบในการบำบัดแบบหนึ่ง ร่วมกับการบำบัดแบบอื่นๆ

จุดเด่นของ CBT คือเป็นการรักษาทางจิตสังคมที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับมากที่สุด ทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาจะถูกนำไปตรวจสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ว่ากลไกของโรคเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า และตัวการรักษาที่ออกแบบมา ก็ถูกนำไปวิจัยก่อนว่าใช้กับคนไข้ได้จริงไหม

 

เครื่องมือหรือกระบวนการของนักบำบัดในการทำ CBT คืออะไร มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

หลักๆ เป็นการพูดคุยที่ตั้งต้นด้วยเป้าหมาย ต้องประเมินก่อนว่าปัญหาของคนไข้คืออะไร เขาอยากจะแก้ไข อยากจะเปลี่ยนให้ชีวิตดีขึ้นในแบบไหน ตั้งเป้าหมายร่วมกัน จากนั้นก็จะมีกระบวนการเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย ซึ่งกระบวนการหลักๆ เกี่ยวข้องกับการปรับวิธีคิดว่า หากเขาคิดอย่างนี้แล้วจะนำไปสู่อะไร ถ้าเปลี่ยนไปจะนำไปสู่อะไร กระบวนการปรับวิธีคิดจะทำผ่านการตั้งคำถามให้คิด เรียกว่า Socratic Questioning มาจากชื่อของ โสเครตีส ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการถามให้คิด

กระบวนการนี้นักบำบัดจะถามให้คนไข้ได้คิดในมุมอื่นๆ ที่ต่างจากที่เคยคิดอยู่ เช่น เขาเคยคิดว่าเขาเป็นคนไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์ เราก็ถามว่า เอ๊ะ จริงหรือเปล่าที่คุณเป็นคนไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์ ถ้าไปถามเพื่อนคุณ เพื่อนเขาจะบอกว่ายังไง หรือถ้าเพื่อนคุณเขาคิดอีกแบบ คุณจะเห็นด้วยกับเขาไหม คือชวนให้เขามองในด้านที่ต่างออกไป แล้วก็ทำให้เขาค้นพบข้อสรุปว่า ที่เขาคิดอาจจะไม่ใช่ก็ได้

พอเปลี่ยนความคิดแล้ว เราก็ทำให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้เห็นว่า ถ้าเราคิดแบบนี้ เราก็จะทำแบบนี้ แต่ถ้าเราคิดอีกอย่าง เราอาจจะทำอีกอย่างนึง ซึ่งผลลัพธ์อาจจะเปลี่ยนไป กระบวนการนี้จะนำไปสู่การเรียนรู้ด้วยตัวเองของคนไข้ โดยที่นักบำบัดเป็นเหมือนกับเป็นไกด์ คอยชวนให้คิด ให้ลองทำดูเท่านั้น ประโยชน์ของการได้เรียนรู้ด้วยตัวเองคือ เขาจะเข้าใจอย่างชัดเจนมากกว่าการมีคนสอน รู้ว่าอะไรที่เวิร์คสำหรับเขา แล้วมันจะอยู่กับเขาได้นานกว่าที่เราแนะนำ

เครื่องมือที่เราใช้ก็อาจเป็นกระดาษหรือบอร์ดที่เขียนให้คนไข้ดูว่า อะไรนำไปสู่อะไร เชื่อมโยงกันยังไงบ้าง คุณคิดยังไง ถ้าไม่อยากเป็นแบบนี้ต้องทำยังไง เพราะฉะนั้น คนไข้ก็จะต้องแอคทีฟในกระบวนการตั้งคำถามแล้วก็คิดหรือเขียนตาม

กระบวนการที่สำคัญอีกอย่างคือ การบ้าน หรือการเอาสิ่งที่คนไข้ค้นพบหรือเรียนรู้ในกระบวนการไปใช้จริง เราเจอกับคนไข้สัปดาห์ละครั้ง คุยกันแค่ชั่วโมงนึง แต่เวลาในชีวิตประจำวันมีอีกเป็นร้อยๆ ชั่วโมง ถ้าเขาได้เอาสิ่งที่ค้นพบไปทำนู่น ทำนี่ เขาก็จะเกิดการเรียนรู้ในชีวิตจริง เช่น ให้บันทึกว่าเขาเจออะไรมาบ้าง เขาคิด เขารู้สึกอะไรบ้าง หรือให้เขาลิสต์สิ่งที่ค้นพบเป็นข้อๆ คนไข้ที่ทำการบ้านก็จะได้ประโยชน์จาก CBT มากกว่าการมาคุยเฉยๆ เพื่อความสบายใจ

 

ฟังดูแล้วเหมือนว่านักบำบัดที่ทำ CBT จะต้องอาศัยการฟัง แล้วขยี้สิ่งที่ขมุกขมัวออกมาให้เป็นระบบ โดยใช้การเขียนหรือจดเป็นเครื่องมือ

ใช่ครับ นักบำบัดต้องฟังแล้ววิเคราะห์ว่าอะไรเกี่ยวข้องกันยังไง แต่เวลาคิดวิเคราะห์ เราจะพยายามแชร์ให้คนไข้ฟังด้วยเสมอว่า เขาเห็นด้วยไหม เห็นตรงกับเราไหม หรือเขามีแนวคิดที่ต่างออกไปยังไง นักบำบัดก็จะต้องตรวจสอบตัวเองอยู่เรื่อยๆ คนไข้อาจจะคิดอะไรที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง นักบำบัดก็อาจจะคิดไม่ตรงตามความเป็นจริงได้เหมือนกัน เพราะนักบำบัดก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนนึง มีรูปแบบชีวิตที่โตมาแบบนี้ เรียนรู้โลกมาแบบที่อาจจะไม่ตรงกับคนไข้ เพราะฉะนั้น เราก็มาเช็คไปด้วยกัน

ต้องทำ CBT นานแค่ไหนจึงจะเห็นผล

มันจะค่อยเป็นค่อยไป ช่วงแรกอาจจะไม่ได้ลงไปถึงเรื่องการตั้งคำถาม แต่จะคล้ายการบำบัดแบบอื่น คือ รับฟัง แสดงความเข้าใจในตัวคนไข้หรือปัญหาของคนไข้ เรียกว่าการมี empathy แล้วค่อยๆ ต่อยอดจากตรงนั้น

ช่วงแรกๆ คนไข้จะรู้สึกว่าได้ระบายความรู้สึก ได้มีคนเข้าใจปัญหาเขา สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการบำบัดก่อน แล้วพอเราเอาเรื่องของเขามาปะติดปะต่อ ก็จะนำไปสู่การวางแผนว่าเราจะทำอะไรกันบ้างในขั้นต่อไป เพราะฉะนั้นกระบวนการมันก็จะค่อยๆ บิลด์ขึ้นมาเรื่อยๆ

 

อยากให้ช่วยยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่าความคิดและพฤติกรรมร้อยเชื่อมกันได้ขนาดไหน

ยกตัวอย่างกรณีของคนไข้โรคซึมเศร้า สมมติเขาเป็นนิสิตนักศึกษา จะเศร้าจากอะไรก็ตาม จากมีปัญหาชีวิต จากสารเคมีในสมอง แต่เวลาเศร้าขึ้นมาเขามองว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง โง่ หรือคิดว่าเพื่อนไม่รักเขา ไม่มีใครชอบเขา คือตอนไม่เศร้าก็อาจจะไม่ได้คิดขนาดนี้ แต่พอเศร้าแล้วมันคิด ซึ่งบางทีอาจจะเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ทักเพื่อนไป เพื่อนอ่านไลน์แล้วไม่ตอบ แค่นี้ก็อาจจะคิดแล้วว่าเพื่อนไม่ชอบ พอคิดอย่างนี้ปุ๊บก็รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง เริ่มเก็บตัว เริ่มไม่อยากคุยกับคน หรืออาจจะไม่ไปเรียน พอเพื่อนทักมาก็ไม่ตอบ เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ปฏิบัติอย่างนี้ไปสักพัก เพื่อนก็อาจจะคิดว่า เฮ้ย ทำไมมันไม่คุยด้วย ทำไมหายไป เพื่อนก็เลยลืมๆ ไป ไม่ได้ทักเขาต่อ เขาก็ยิ่งมีหลักฐานขึ้นมาเลยว่า เฮ้ย เพื่อนไม่รักฉันจริงๆ ด้วย ทั้งที่ตอนแรกเพื่อนอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่จากความคิดที่ว่าเขาไม่เป็นที่รัก ก็ทำให้เขาปฏิบัติตัวเหมือนกับเพื่อนไม่สนใจเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นวงจรที่ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ก็จะจัดการความคิดของตัวเองได้ตั้งแต่แรก ไม่ต้องไปทำตัวให้ห่างเกินกับเพื่อน กลับไปเข้ากลุ่มได้เหมือนเดิม

ถ้าเราเห็นวงจรอย่างนี้ ก็จะชวนให้คนไข้ซึมซับว่า ระวังความคิดของเรานะ เพราะมันนำไปสู่ความรู้สึก ไปสู่พฤติกรรม ของบางอย่างตอนแรกมันไม่มี แต่เราคิดไปก่อนว่ามันมี เลยทำตัวให้มันแย่อย่างนั้นจริงๆ

 

มันยากไหมที่คนไข้จะยอมรับว่าเขาทำพฤติกรรมแบบนี้จริงๆ

นี่เป็นทักษะที่นักบำบัดต้องเรียนรู้ ในทางนึงถ้าเราทำแบบไม่ระวัง ก็เหมือนไปต่อว่าเขา เหมือนไปบอกว่า เพราะแกนั่นแหละ แกทำแบบนี้ก็เลยเดือดร้อน แต่ถ้าเรามีทักษะว่าความคิดและพฤติกรรมนี้มันนำไปสู่อะไร เราช่วยกันคิดดูดีไหม เขาจะนึกออกได้เองว่า เออ มันจริงด้วยว่ะ ที่เราทำมันอาจทำให้เรื่องแย่ลง เราไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้นี่ ถ้าทำอีกแบบมันจะออกมาเป็นยังไงนะ คือให้เขาค่อยๆ คิดตามไป จะไม่ไปบอกเขาเร็วๆ เพราะถ้าเขาไม่คิดตาม ก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่เชื่อมโยงกัน

กระบวนการที่ได้ผลมันต้องค่อยๆ ทำ ฝรั่งเขาจึงเปรียบเทียบว่า การบำบัด (Therapy) ก็เหมือนการเต้นรำ ก่อนจะเตือนคู่เต้นรำให้เดินหน้า ถอยหลัง ต้องรู้จังหวะกันก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวจะเหยียบเท้ากัน ซึ่งในการบำบัดมันก็เกิดการเหยียบเท้ากันได้จริงๆ ถ้าจังหวะไม่ดี คนไข้ก็รู้สึกว่าทำไมมาว่า มาตำหนิฉัน ทำให้คนไข้ยิ่งรู้สึกแย่ เหมือนไปบังคับให้เขาต้องเชื่อ

 

CBT รักษาอาการเสพติด (addiction) ได้ในระดับไหน

ใช้ได้ แต่ว่าระดับความใช้ได้อาจจะน้อยกว่าโรคอย่างซึมเศร้า วิตกกังวล เพราะว่า addiction มีประเด็นเรื่องแรงจูงใจที่ไม่เหมือนกับคนเป็นซึมเศร้าวิตกกังวล อันนั้นคือเขาทุกข์ เขาจึงอยากเปลี่ยนของเขาอยู่แล้ว แต่ว่าคนใช้สารเสพติดมีหลากหลายที่มา บางคนต้องการความสนุกสนาน ความบันเทิงจากสารเสพติด หรือบางคนก็มีความทุกข์อยู่ในชีวิตจริง แต่ไม่รู้ว่าจะใช้อะไรเป็นตัวจัดการความทุกข์ ก็ใช้เหล้าหรือสารเสพติดเป็นตัวดับทุกข์ แล้วก็เกิดการเรียนรู้ว่ามันได้ผล สภาพแวดล้อมก็มีผลเยอะ ถ้าได้ไปอยู่ในวงเหล้าตลอด เพื่อนที่ทำงานกินตลอด หรือว่าอาศัยในชุมชนที่มีสารเสพติดเยอะๆ ก็สามารถได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมเหล่านั้นได้

 

วิธีการของ CBT ที่จะบำบัดผู้ติดเหล้าหรือสารเสพติดเป็นอย่างไร

เวลาใช้ CBT กับการบำบัดการเสพติดจะไม่ได้ใช้การปรับความคิดอย่างเดียว บางคนอาจจะคิดง่ายๆ ว่าเลิกไม่เลิกอยู่ที่ใจ แต่จริงๆ มันไม่พอหรอก สมมติใจอยากเลิกแต่ว่าเหล้าอยู่รอบตัว มองไปตรงไหนในบ้านก็มีขวดอยู่ มันจึงเลิกยากมาก ถ้าจะเปลี่ยนจริงๆ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการสภาพแวดล้อม และวางแผนลดตัวกระตุ้นการดื่มการเสพ เช่น ถ้าจะเลิกเหล้า ในบ้านก็ไม่ควรจะมีเหล้า หรือรอบบ้านไม่ควรจะเดินไปหาเหล้าได้ง่ายๆ หรืออาจลองวิเคราะห์ว่าเรากินเหล้าตอนไหน เช่น ถ้ามีเพื่อนกลุ่มนี้เสร็จทุกที ไปกินเหล้าแน่นอน แล้วทำยังไงจะอยู่ห่างจากเพื่อนกลุ่มนี้ได้ ถ้าไม่งั้นเราก็ไม่รอด โดนชวนตลอด เขาเรียกว่าต้องมาวิเคราะห์ตัวกระตุ้น คนเราไม่ได้อยู่ที่ใจอย่างเดียวแล้ว ตัวกระตุ้นก็ควรลดให้เหลือน้อยที่สุด แล้วต่อไปค่อยมาเวิร์กในระดับตัวเขา ใจเขา

จากนั้นแม้ไม่มีตัวกระตุ้นแล้ว แต่ความคิดเราก็ยังนำไปสู่การใช้เหล้า เช่น บางทีเราเกิดอยากกินเหล้าขึ้นมาไม่รู้ตัว ต้องนัดไปคุยธุระกับเพื่อนคนนี้ ทั้งที่จริงๆ ไม่ได้มีธุระอะไร แต่ถ้าเจอคนนี้เดี๋ยวจะได้กินเหล้า ลึกๆ ก็คือเราอยากจะได้กินเหล้านั่นแหละ ดังนั้นผู้บำบัดจึงต้องตามความคิดตัวเองให้ทันว่า เราหลอกตัวเองหรือเปล่า หรือว่าเราอนุญาตตัวเองมากไปไหม คนกินเหล้าบางคนจะคิดว่ากินแก้วเดียวไม่เป็นไรหรอก ไม่ติดหรอก แต่แก้วเดียวมันเป็นจุดตั้งต้นให้ต่อไปแก้วที่สองสามสี่ แล้วก็เมาไปเลย คราวนี้ก็กลับไปเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นความคิดแบบอนุญาตตัวเองก็ต้องได้รับการทบทวน เพื่อเตือนสติตัวเองได้ว่า ไม่ได้ เราจะเลิกก็ต้องเลิกจริงๆ

จริงๆ พวกเหล้า หรือยาเสพติดนี่ นอกจากปัจจัยทางจิตใจแล้ว เรื่องทางชีวภาพมันก็มีผล บางครั้งอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วย เช่นภาวะที่เขาเรียกว่า ‘สมองติดยา’ คือการที่ความอยากเกิดขึ้นในระดับสมอง จนเราไม่รู้ตัว และไหลไปตามระบบอัตโนมัติของสมอง ในสารเสพติดทั้งหลายที่เรารับกันเข้าไปมันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสมอง ทำให้แทร็กอะไรในสมองไม่เหมือนเดิม การปรับวิธีคิด ปรับพฤติกรรมอย่างเดียวอาจไม่พอ จึงอาจต้องมียาหรือกระบวนการรักษาอะไรเข้าไปช่วยในสมองเขาด้วย

 

มีลิมิตในการสำรวจตัวเองไหมว่าถ้าพฤติกรรมหรือร่างกายเป็นแบบนี้ ควรจะมาเริ่มปรึกษาคุณหมอดีกว่า

ถ้าติดเหล้า อาการก็คือจะมีความอยากอยู่ตลอด แล้วต้องเพิ่มโดสไปเรื่อยๆ จากที่เคยกินเท่านี้โอเคแล้ว ก็ต้องกินเพิ่มไปอีก พอไม่ได้กินก็อารมณ์แปรปรวน หรือมีอาการทางร่างกายขึ้นมา เช่น ไม่ได้กินแล้วสั่น หรือต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้กิน ไม่ว่าจะหนีงาน หรือไปเดือดร้อนคนรอบตัวเช่น ลูกเมีย ก็ต้องแยกให้เป็นระหว่างกินสังสรรค์ เข้าสังคม กับกินแล้วเสียหน้าที่การงาน เสียฟังก์ชัน ถ้ามันถึงจุดนั้นก็อาจจะต้องลดหรือเลิกได้แล้ว คราวนี้ ถ้าคนที่ไม่ได้ถึงขั้นติด การลดมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ถ้าถึงขั้นติดแล้วเวลาลดมันมักจะคุมไม่ได้ กะจะลดปริมาณ แต่สุดท้ายก็กินต่อ ดังนั้น บำบัดเพื่อให้หยุดได้ก่อนอาจจะจำเป็นกว่า

สำหรับคนที่มีแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดเป็นที่พึ่งเวลาเป็นทุกข์ หรือมันอาจช่วยเขาได้จริงๆ คุณหมอจะแนะนำอย่างไร

เราจะพยายามทำความเข้าใจกับคนไข้ คือไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีเฉยๆ แต่จะชวนเขาดูว่าทำไมคุณถึงใช้ ใช้แล้วมันดีกับคุณยังไง เราอยากฟังเขาจริงๆ นะว่า เขาใช้แล้วมันช่วยอะไรบ้าง เช่น ทำให้สนุก ทำให้ลืมทุกข์ ทำให้มีเพื่อน แล้วเราก็ไปชวนมองอีกด้านว่า มันทำให้เดือดร้อนยังไงบ้าง ถ้าใช้ต่อไปจะเป็นยังไง ถ้าหยุดใช้จะเป็นยังไง ลองเปรียบเทียบกันดู คือเราจะชวนคิดแล้วให้เขาเห็นว่า ตกลงมันคุ้มไหมที่จะใช้ต่อ ซึ่งถ้าเขาได้เห็นผลดีผลเสียเปรียบเทียบสองข้างแล้ว เขาก็จะเกิดแรงจูงใจขึ้น เพราะฉะนั้น อันดับแรกของการใช้ CBT บำบัดสารเสพติดหรือเหล้า คือสร้างแรงจูงใจก่อน เพื่อให้อยากเปลี่ยน อยากจะลองทำ ถ้ากระบวนการนี้ยังไม่เกิดก็ใช้ CBT ยาก

มันจะมีเคสประเภทใช้ยาเสพติด โดนตำรวจจับ ต้องเข้าโรงพยาบาลบำบัดยาเสพติด สมัยนี้คนเสพเขาไม่ได้ถูกมองว่าเป็นอาชญากร แต่มองเป็นคนป่วย ก็ส่งเข้าไปบำบัด แต่คนไข้ส่วนหนึ่งก็ไม่ได้มีแรงจูงใจอยากจะบำบัด แต่อยากจะออกจากโรงพยาบาลแค่นั้นเอง เขาจึงทำอะไรก็ได้ให้เหมือนว่า รู้เรื่องแล้ว คิดได้แล้ว เพื่อจะได้ออกจากโรงพยาบาล ทั้งที่เขาอาจจะไม่ได้อยากเลิกจริงๆ เพราะฉะนั้น คนไข้เหล่านี้ก็จะเข้าๆ ออกๆ ทีนี้กระบวนการที่จะทำให้เขาคิดได้จริงๆ มันเลยสำคัญมากตรงที่ เราจะทำยังไงให้เขาเกิดแรงจูงใจในการเปลี่ยน

 

บางคนเลิกเหล้าได้ในระยะสั้นๆ แล้วก็ Relapse หรือกลับไปดื่มอีก หากเป็นแบบนี้จะทำให้การเลิกครั้งต่อไปยากขึ้นไหม

ไม่เสมอไป ถ้ายังอยู่ในการบำบัด ก็ยังเรียนรู้ได้ว่า เขากลับไปดื่มได้ยังไง จากการบำบัดผมพบว่า เคสเกี่ยวกับยาเสพติดมักจะมาบำบัดแล้วไม่ได้เลิกได้ทันที มักจะเผลอๆ หลุดๆ ไป แต่ถ้าหลุดไปแล้วกลับมาคุยกันอีก เขาจะได้เรียนรู้ว่าเป็นเพราะอะไร เขาคุมสิ่งแวดล้อมไม่ดีพอ หลอกตัวเอง หรืออนุญาตตัวเองมากไปหรือเปล่า เราก็จะให้เขาเรียนรู้ว่าครั้งต่อไปจะทำยังไงให้มันต่างออกไป

 

คนที่เลิกเหล้าได้ ไม่ได้เลิกได้ในทันทีหรือในครั้งเดียว ?

แพตเทิร์นของคนเลิกได้ ไม่ได้เลิกได้ทันที แต่จะคล้ายๆ ว่าเรียนรู้ แล้วก็หลุด แล้วก็มาเรียนรู้ใหม่ ทีนี้ช่วงเวลากว่าจะกลับไปหลุด หรือ Relapse อีกเนี่ยมันจะนานขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมบำบัดเสร็จออกไปแปปเดียวก็ดื่มแล้ว ภายหลังเขาอาจเริ่มทนได้นานขึ้น บางคนหยุดได้เป็นปีๆ กว่าจะกลับไปดื่มอีกที แต่ก็กลับมาเรียนรู้ พยายามเลิกใหม่ เพราะฉะนั้น มันไม่ได้เลิกได้ทันทีรวดเดียว แต่จะมีอาการขึ้นๆ ลงๆ สักพักนึง แต่ถ้าเขายังคงแรงจูงใจไว้ได้ แล้วก็ยังมีคนคอยช่วยเขา สุดท้ายก็จะทำได้นานขึ้นจนอาจถาวร

 

การรักษาโรคสุขภาพจิตอาจจะมีทางเลือกเพิ่มเติม เช่น ศิลปะบำบัด ละครบำบัด ผู้ติดแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดล่ะ มีกลไกอื่นๆ ที่ช่วยเขาได้ไหม

อีกรูปแบบหนึ่งที่อาจจะช่วยในการบำบัดเหล้าหรือสารเสพติดคือ ‘กลุ่ม’ หรือการเรียนรู้ในรูปแบบการบำบัดกลุ่ม คือมีคนที่จะเลิกมาคุยกัน เล่าประสบการณ์ที่เลิกได้แล้ว หรือกำลังจะเลิก เอาเรื่องราวมาแชร์กัน มันก็ทำให้เกิดการเรียนรู้ ผู้บำบัดจะเรียนรู้จากคนที่คล้ายกับเขาได้มากกว่าเรียนรู้จากนักบำบัดเฉยๆ เพราะนักบำบัดอาจจะไม่ได้กินเหล้าหรือเสพยาเสพติด ไม่ได้เข้าใจคนที่เคยใช้มาจริงๆ เพราะฉะนั้น ในสถานบำบัดพวกยาเสพติดหรือเหล้า ก็จะมีรูปแบบกลุ่มบำบัดด้วย ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มแบบ CBT แต่เป็นการเอาไอเดียหรือเรื่องราวมาแชร์กัน

 

มันมีวิธีหนึ่งที่คนชอบใช้กันคือ หักดิบ ในมุมมองแบบ CBT มันเวิร์กไหม

ถ้ากินเหล้ามานาน แล้วอยู่ๆ หักดิบเลย ที่น่ากลัวคืออาจชัก หรือหลอนได้ อันนี้อันตรายมาก ทุกอย่างที่เป็นแอลกอฮอล์ ถ้ากินเยอะหรือกินนานต่อเนื่องระดับนึงเนี่ย การหยุดกะทันหันจะทำไม่ได้ ต้องค่อยๆ หยุด หรือมีกระบวนการหยุด อาจต้องให้ยากลุ่ม Benzodiazepine, Diazepam เพื่อเข้าไปทดแทนสารเสพติด แล้วค่อยๆ ลดเหล้าลง หรือบางกรณีคนกินเหล้านานๆ จะขาดวิตามิน B ก็ต้องได้อะไรเข้าไปทดแทน ไม่งั้นอยู่ๆ หยุดปุ๊บมีความเสี่ยงทางสุขภาพ เหมือนเป็นสมดุลของสมอง ที่เคยได้เหล้าเข้าไป ก็มีสารที่สมดุลอยู่ระดับนึง พอเหล้าหายไปเลย มันก็มีสารที่เสียสมดุลมาก และทำให้เกิดอาการคล้ายกับที่เราเรียกว่า ‘ลงแดง’ คือทุรนทุรายอยากได้ แบบนี้เสียสมดุลถึงขนาดชักได้เลย

 

เวลาคนไม่ดื่มต้องการหรือพยายามชักจูงให้คนดื่มเลิกเหล้า อาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจหรือบาดหมางกันขึ้นมา จริงๆ แล้วมีวิธีการ หรือคำพูดแบบไหนไหมที่คนรอบข้างทำแล้วจะจูงใจเขาได้ดีกว่า หรือไม่พูดแบบนี้จะดีกว่า

ไม่พูดอะไรดีกว่า ผมว่าการตำหนิหรือการด่ามักจะไม่ค่อยช่วย เพื่อนด่าแล้วเลิกได้เลยคงไม่มี อาจจะทำให้เสียความสัมพันธ์ไปอีกต่างหาก วิธีที่ดีก็คือทำความเข้าใจ คล้ายๆ นักบำบัด ลองทำความเข้าใจว่าเหล้านี่มันฟังก์ชัน มันสำคัญกับชีวิต หรือช่วยเขาได้ยังไง ซึ่งจำนวนมากเราก็พบว่ามันคือการดับทุกข์แบบหนึ่ง ทีนี้มองลึกลงไปว่าเขาทุกข์เรื่องอะไร แล้วทุกข์อันนั้น ถ้าไม่ได้แก้ด้วยเหล้า แล้วจะแก้ด้วยอะไรได้ ถ้าเรามีส่วนช่วยให้ความทุกข์ของเขาลดลง เขาอาจจะมีทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องไปกินเหล้าก็ได้

ถ้าเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ แล้วเขาเห็นด้วยว่าอยากจะเปลี่ยนแปลง ก็ชวนเขาไปบำบัด ไปหาหมอ เขาก็จะได้เข้าสู่กระบวนการอย่างจริงๆ จังๆ


เรื่องและภาพ: ทีมงาน Alcohol Rhythm

Related Articles