ดรูว์ แบร์รีมอร์ ขวัญใจวัยหวานผู้ (เคย) ติดเหล้าตั้งแต่อายุ 11 ปี

March 9, 2020


เมื่อพูดถึง ดรูว์ แบร์รีมอร์ ชื่อของเธอน่าจะติดอันดับต้นๆ ของนางเอกสาวยอดนิยมแห่งยุค 90 เธอกลายเป็น ‘ใบหน้า’ ของหนังรักโรแมนติกหลายต่อหลายเรื่อง ชนิดแค่ว่าเห็นเธอบนโปสเตอร์ นายทุนก็ยิ้มรอแล้วว่าหนังต้องทำเงินอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในหนังแฟนตาซีหวานเจี๊ยบ Ever After: A Cinderella Story (1998) ที่เธอรับบทเป็นเจ้าหญิงได้อย่างตราตรึงในความทรงจำสุดๆ และหนังน่ารักจุ๋มจิ๋มอย่าง Never Been Kissed (1999) ที่ฟาดเงินไปแบบจุกๆ ที่ 85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พุ่งทะลุเป้าทุนสร้างไปไม่รู้กี่เท่าตัว

 

แต่เชื่อหรือไม่ว่า ในช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ แบร์รีมอร์ซึ่งกำลังอยู่บนจุดสูงสุดของชื่อเสียงและเงินทอง กำลังเผชิญปัญหาหนักอย่างการติดยาและแอลกอฮอล์จนถอนตัวไม่ขึ้น

 

 

แบร์รีมอร์เข้าวงการมาตั้งแต่อายุเพียงห้าขวบด้วยการรับบทสมทบในหนังออกฉายทางโทรทัศน์อย่าง Bogie (1980) ก่อนที่ในอีกสองปีต่อมา เธอจะโด่งดังระดับประเทศด้วยการปรากฏตัวในหนังของ สตีเวน สปีลเบิร์ก พ่อมดฮอลลีวูดที่เนรมิตภาพยนตร์ชวนฝันและอบอุ่นหัวใจอย่าง E.T. the Extra-Terrestrial (1982) โดยแบร์รีมอร์รับบทเป็น เกอร์ตี เด็กหญิงหน้าตาน่ารักที่พบเจอเข้ากับมนุษย์ต่างดาวผู้ใสซื่อ

 

หนังประสบความสำเร็จและทำเงินอย่างบ้าคลั่งที่ 793 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (จากทุนสร้างเพียง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!) รวมถึงเป็นการแจ้งเกิดอย่างงดงามให้แบร์รีมอร์ ขณะเดียวกัน มันก็ได้เป็นต้นธารของหายนะอีกหลายอย่างอันจะตามมาในชีวิตเธอหลังจากนี้

 

จุดเริ่มต้นของอาการ ‘เสียหลัก’ ของแบร์รีมอร์เริ่มจากชื่อเสียงที่เธอตั้งรับไม่ทัน หนักกว่านั้นคือ เธออาศัยอยู่กับพ่อที่ติดเหล้าและหย่าขาดจากแม่เมื่อแบร์รีมอร์อายุได้ 9 ขวบ เธอถูกส่งไปอยู่กับแม่ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายนัก

 

แบร์รีมอร์เล่าว่าความทรงจำวัยเด็กของเธอนั้น มีแค่ภาพที่แม่ลากเธอไปยังไนต์คลับทุกคืน เธอเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ต้องนั่งมองผู้ใหญ่ดื่มเหล้าและเสพยา ด้วยบรรยากาศเหล่านี้ แบร์รีมอร์จึงมีปัญหาเรื่องติดเหล้าตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ปี และถูกส่งไปเข้าคอร์สเลิกเหล้าตอนอายุ 12  ก่อนจะพบว่าชีวิตของเธอไม่ได้ไปไหนอีกเลยนอกจากเข้าๆ ออกๆ สถานบำบัดและโรงพยาบาลจนอายุ 15 ปี

 

“จุดต่ำสุดของชีวิตฉันน่าจะช่วงอายุราวๆ 13 ปีได้มั้ง” เธอว่า “ฉันตัวคนเดียวและโดดเดี่ยวสุดขีด มันแย่มากและเป็นช่วงที่ฉันกบฏต่อทุกอย่าง ฉันโกรธและกราดเกรี้ยวเอามากๆ จนวันหนึ่ง ฉันก็ถามตัวเองว่า นี่ฉันโกรธอะไรใครนะ พอวางความรู้สึกนั้นลง ฉันก็พบว่า ฉันโกรธเพราะพ่อแม่ไม่เคยอยู่ด้วยกันกับฉันเลย แต่ใครจะมาสนฉันกันวะ มีคนอีกตั้งมากมายที่ไม่มีพ่อแม่ พวกเขาก็แค่จากฉันไป ไม่เห็นเป็นไร”

 

อย่างไรก็ดี นั่นหาได้ปลดปล่อยความรู้สึกโกรธเคืองที่แบร์รีมอร์มีต่อแม่ผู้ลากเธอไปไนต์คลับตั้งแต่เด็กได้ มันกลายเป็นบาดแผลใหญ่ที่เธอก็ไม่รู้ว่าควรต้องรู้สึกอย่างไรกับผู้ให้กำเนิด จนเลือกปลอบโยนตัวเองด้วยการให้น้ำเมาทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำตอบแทน

 

“แม่ชอบทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนฉันมากกว่า และคอยแค่จะถามว่า ‘ อยากไปโรงเรียนแล้วโดนเพื่อนๆ แกล้งหรือจะไปถ่ายหนังที่สตูดิโอกันดีล่ะ’ ฉันก็ต้องเลือกไปสตูดิโอสิคะ! ไม่ได้อยากใช้เวลาทั้งวันไปกับเด็กๆ ในโรงเรียนที่เอาแต่รังแกฉันสักหน่อย จริงๆ แล้วเด็กๆ นี่ใจร้ายเอาเรื่องเหมือนกันนะ”

 

มากไปกว่านั้น ชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นพายุหลังความสำเร็จของ E.T. the Extra-Terrestrial ทำให้แบร์รีมอร์รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า โดยเฉพาะเมื่อสื่อมวลชนจับจ้องไปยังพฤติกรรมติดเหล้า (ในวัยเท่านั้น) ของเธอที่สวนทางกับบทบาทสาวน้อยน่ารักในภาพยนตร์แทบจะคนละโลก ยิ่งซ้ำเติมให้แบร์รีมอร์รู้สึกเปล่าดายมากขึ้น

 

“ชีวิตฉันนี่มันยังกะสูตรชีวิตหายนะชัดๆ” เธอเปรย “คิดดูสิว่าฉันมีทุกอย่างครบตั้งแต่อายุแค่ 14 ปี ต้องเผชิญวิกฤติวัยกลางคน เข้ารับการบำบัด ขึ้นบัญชีดำของคนทำหนัง ไม่มีครอบครัว หมดทุกอย่างเลย

 

“ลองคิดดูสิ ฉันประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วก็หวนลงสู่จุดตกต่ำตอนอายุแค่ 14 ปี จากที่มีทุกอย่างก็กลายเป็นไม่เหลืออะไร

 

“ตอนนั้นฉันกลัวมากๆ เพราะไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง” เธอเล่า “คิดไว้แล้วด้วยซ้ำว่าอาจจะตายก่อนอายุ 25 แต่ถึงอย่างนั้น อีกใจก็ยังอุตส่าห์เชื่อนะว่าไม่ว่าจะเลวร้ายยังไง เดี๋ยวสิ่งดีๆ ก็ค้องเกิดขึ้นสักวันน่า”

 

แต่กว่าที่สิ่งดีๆ เหล่านั้นจะเดินทางมาถึงเธอก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ภายหลังจากการใช้ชีวิตวัยรุ่นในสถานบำบัดเลิกเหล้า เธอหวนคืนวงการด้วยการรับแสดงหนังออกฉายทางโทรทัศน์ไม่กี่เรื่อง และใช้เวลานานอีกหลายปี หนังอีกหลายเรื่องทีเดียว กว่าจะกลับมาเป็นที่จดจำในฐานะนักแสดงสาวขวัญใจอีกครั้งจาก Scream (1996) หนังทริลเลอร์หักมุมสุดช็อกที่แจ้งเกิดให้คนเห็นว่า แบร์รีมอร์ ‘เป็นสาวแล้วค่ะ’ ไม่ใช่เป็นเด็กหญิงจากหนังของสปีลเบิร์กอีกต่อไปแล้ว จากนั้น ชีวิตในอุตสาหกรรมการแสดงของเธอก็ดูจะราบรื่นขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดจากการที่เธอคุมตัวเองอย่างเข้มงวด ไม่หวนกลับไปใช้ยาเสพติดอีกเลย

 

“ไม่มีอะไรทำให้ฉันเครียดจัดและตกอยู่ในสภาวะฝันร้ายได้แบบนั้นอีกแล้ว” เธอพูดถึงช่วงเวลาที่ใช้แอลกอฮอล์เยียวยาตัวเองสมัยยังวัยรุ่น “ฉันดื่มเหล้าเป็นบ้าเป็นหลังก็เพื่ออยากให้ตัวเองสนุกกับชีวิต และหยุดคิดมากเสียที หนักกว่านั้นคือโคเคนที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าที่เคย”

 

ปัจจุบัน แบร์รีมอร์ยังคงเป็นนักแสดงแถวหน้าของวงการ เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น ลูกที่น่ารัก และไม่หวนกลับไปแตะแอลกอฮอล์เพื่อบำบัดความตึงเครียดให้ชีวิตอีก มากกว่านั้น เธอยังเดินหน้าให้ความรู้และสนับสนุนเยาวชนผู้มีอาการติดสุราเรื้อรังให้เลิกขาดจากมัน ก่อนถลำลึกลงไปจนกลับตัวได้ยากกว่าที่เป็นอยู่

 

นั่นเพราะเธอผู้ผ่านเรื่องนี้มาและเข้าอกเข้าใจดีว่า แม้แอลกอฮอล์จะช่วยเยียวยาความเปลี่ยวเหงา หากก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น และไม่มีใครสมควรใช้มันเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวอีก

 

 


ที่มา:

https://www.goodtoknow.co.uk/family/drew-barrymore-childhood-drugs-rehab-285360https://filtermag.org/drew-barrymore-children-addicts/

Drew Barrymore and the Case Against Labeling Children as “Addicts”

เรื่องและภาพ : ทีมงาน Alcohol Rhythm

Related Articles