“ฉันรักการดื่ม แต่ไม่ได้ติดสุรา” คือหนึ่งในประโยคฮิตที่คนดื่มมักบอกกล่าวกับคนอื่น
แน่นอน คงมีผู้คนไม่มากนักที่จะนิยามตัวเองว่าติดสุรา เมื่อมาตรวัดการติดสุราถูกพิจารณาร่วมกับความทรงจำดีๆ บทสนทนาคึกคักระหว่างดื่ม หรือความเมามายในโมงยามที่เหงาเปลี่ยว หลายคนจึงรวบรัดจนได้คำตอบอันน่าพอใจว่า “ฉันไม่ติด” พ่วงมาด้วยเหตุผลบางประการที่ทำให้รู้สึกดีกับพฤติกรรมการดื่มของตนเอง เช่น ไม่ได้เมาจนหมดสติ ไม่ได้จำเรื่องราวในคืนก่อนไม่ได้ ไม่เคยอาเจียน ฯลฯ
ในสารคดี ‘Drinkers like me’ จากช่อง BBC Adrian Chiles ผู้จัดรายการโทรทัศน์และวิทยุชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงจากการเป็นหัวหน้าผู้จัดรายการข่าวฟุตบอล และเป็นเจ้าของสารคดีเรื่องนี้ ก็เริ่มต้นด้วยนิยามแบบเดียวกัน
“ผมไม่ได้ติดสุราอย่างแน่นอน ผมมันก็แค่คนดื่มทั่วๆ ไป” สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาไม่เคยพบว่าตัวเองหลับใหลอยู่หน้าบาร์ตอนตีสี่ ตื่นขึ้นมาบนเตียงพร้อมคนแปลกหน้า หรือทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เขาเพียงแค่ดื่มกับเพื่อนสองสามแก้วในวันที่มีฟุตบอลแมตช์สำคัญ ยังไม่ทันห้าทุ่มก็แยกย้าย
“เรามีข้ออ้างให้มันเสมอนั่นแหละ” เพื่อนของเอเดรียนกล่าว เอเดรียนไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำว่า ‘ข้ออ้าง’ พร้อมกับที่ไม่คิดว่าการดื่มของเขามีปัญหา
แต่มันจะเป็นเช่นนั้นเสมอไปหรือ สารคดีจะตอบคำถามนี้ให้กับเรา
Alcohol Diary เอเดรียนพบอะไร เมื่อลองนับปริมาณการดื่ม
แม้เขาจะรู้สึกว่าตนเองดื่มน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่เพื่อจะยืนยันว่าการดื่มของเขาไม่เป็นปัญหา เขาจึงเริ่มบันทึกจำนวนแก้วที่ดื่ม (Alcohol diary) เพื่อเทียบกับปริมาณแอลกอฮอล์ต่อสัปดาห์ที่รัฐบาลอังกฤษแนะนำสำหรับประชากรหญิงชาย ว่าจะไม่สร้างปัญหาให้ผู้ดื่ม และไม่ทำให้ผู้ดื่มกลายเป็นคนติดสุรา
14 ยูนิตต่อสัปดาห์คือปริมาณที่ว่า และกลายเป็นตัวเลขที่มีอิทธิพลกับเอเดรียนในเวลาถัดมา เพราะเมื่อ 14 ยูนิต ถูกแปลงเป็นแอลกอฮอล์แล้วนั้น จะมีค่าเท่ากับเบียร์ 7 ไพน์ หรือไวน์เพียงแค่ขวดครึ่ง ซึ่งถือว่าน้อยมากสำหรับ ‘ผู้รักการดื่มที่ไม่ใช่คนติดสุรา’ น้อยจนเอเดรียนคิดว่าดื่มเลยมาตรฐานไปเสียหน่อยจะเป็นไรไป ปริมาณที่ว่าคงถูกกำหนดมาต่ำไป
เพียงแค่วันแรกปริมาณการดื่มของเขาเกือบจะเลยมาตรฐาน เขาไปดื่มกับเพื่อนหลังการแข่งฟุตบอลจบ และกลับมาจดบันทึกที่อพาร์ทเมนต์ พบว่าตัวเองดื่มไปถึง 32 ยูนิตในหนึ่งวัน “ผมไม่รู้เลยว่าจะเจอกับอะไรเมื่อครบหนึ่งสัปดาห์” เอเดรียนกล่าวขณะนั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าว ฉากหลังเป็นชั้นวางขวดเหล้า ไวน์ และแก้วทรงสูงที่รายเรียง
ในแต่ละวันจำนวนแก้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น หนึ่งสัปดาห์ที่เขาเริ่มบันทึก Alcohol diary เขาพบว่าปริมาณการดื่มของเขาอยู่ที่ 100 ยูนิต แม้จะเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับเลขที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งเขาก็ยังจัดว่าการดื่มของเขาไม่ใช่ปัญหา เพราะไม่ได้เมาจนล้มพับ รู้สึกป่วย หรือไปวิวาทกับใคร
แต่เพื่อให้ได้คำตอบที่แน่ชัด เขาจึงไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาล และได้รับคำตอบว่าระดับเลือดของเขาแสดงผลที่น่าพอใจ ดูเหมือนตับเขาจะไม่เป็นอันตราย กระทั่งคุณหมอชวนให้เขาสแกนตับเพื่อตรวจดูให้ชัดขึ้น ก็พบกับผลลัพธ์ที่น่าตกใจว่า เขาเริ่มมีพังผืดที่ตับในปริมาณกลางๆ และมีไขมันที่ตับในระดับนัยยะสำคัญ
ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ คุณหมอกล่าวกับเอเดรียนว่า “คุณจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ คุณกำลังเสี่ยงต่อภาวะตับแข็ง เสียงต่ออาการร้ายแรงที่นำไปสู่ภาวะตับทำงานล้มเหลว”
“และเสี่ยงต่อการตาย ใช่หรือเปล่า” เอเดรียนถาม
“ใช่ ความตายก็ด้วย” คุณหมอยืนยัน
เราทุกคนล้วนเสี่ยงกับความตาย เพียงแต่ว่าผู้ดื่มสุราอาจแลกมาด้วย 20 ปีที่หายไปของชีวิต เอเดรียนสามารถเปลี่ยนแปลงผลกระทบต่อร่างกายได้ แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องดื่มให้น้อยลงมาก หรืออาจต้องมีวันปลอดแอลกอฮอล์ 3-4 วันต่อสัปดาห์ และเมื่อพิจารณาส่วนต่างที่ต้องเกิดขึ้นนั้น ความรู้สึกของเอเดรียนในตอนนี้อาจขมและเฝื่อน เหมือนเบียร์เก่าที่ถูกตั้งไว้ในอากาศร้อนมาสักพักก็ไม่ปาน
Why we drink คำตอบเมื่อตั้งคำถามต่อการดื่ม
David Nutt ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยาที่เอเดรียนเดินทางไปพบกล่าวว่า “ครึ่งหนึ่งของผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มเพื่อเยียวยาอาการวิตกกังวล และซึมเศร้า” ตัวเอเดรียนเองก็เช่นกัน เขาเข้ารับการรักษาอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงานในช่วงชีวิตที่ผ่านมา และเพื่อขุดคุ้ยเหตุผลการดื่มของตัวเองให้ลึกขึ้น เขาจึงนัดพบกับ John McKeown นักจิตวิทยาการบำบัดที่เชี่ยวชาญเรื่องการเสพติด
จอห์นแสดงความเห็นว่าปัญหาสุขภาพจิต ทั้งอาการวิตกกังวลและความเศร้าที่เกิดขึ้นกับเขานั้น อาจเป็นผลพวงจากการดื่ม
“คุณปล่อยให้อารมณ์ขึ้นอยู่กับการดื่ม” เอเดรียนพยักหน้ารับคำของจอห์นช้าๆ เมื่อจอนห์อธิบายว่าแอลกอฮอล์ทำให้เอเดรียนรู้สึกเปลี่ยนไปกับตัวตนของเขาเอง
“บางครั้งผมรู้สึกแทบไม่อยากขยับไปไหน ไม่มีแรงบันดาลใจ และเพื่อที่จะออกจากความรู้สึกนั้นผมต้องออกไปเดินทอดน่อง หรือดื่มเบียร์สักสองไพน์ เมื่อนั้นแหละที่ผมรู้สึกว่าโลกไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปและชีวิตเต็มไปด้วยความเป็นไปได้อีกครั้ง ไม่รู้สิ ผมไม่เคยพูดเกี่ยวกับการดื่มของตัวเองอย่างเจาะจงเลย เหมือนผมโกหกตัวเองเรื่องการดื่มอยู่ตลอดเวลา หรืออาจจะเรียกอีกอย่างว่าผมไม่เคยนับว่าดื่มไปเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งตอนนี้”
“คุณรู้สึกยังไงเมื่อมีคนบอกว่า คุณดื่มได้แค่ 14 ยูนิต เท่านั้น” จอห์นถาม
“ก่อนจะมาทำสารคดีนี้ ผมรู้สึกว่ามันต่ำมาก ผมจะทำเป็นไม่สนใจมัน ผมมั่นใจว่าในประเทศอื่นๆ ระดับแอลกอฮอล์มาตรฐานอาจจะสูงกว่านี้ด้วยซ้ำ ผมเลยคิดว่าช่างปะไร”
“บางทีนี่อาจเป็นวิธีการปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมหรือเข้าใกล้คำว่า ‘เสพติด’ ก็ได้นะ ไม่ว่าวิทยาศาสตร์ หรือมาตรฐานจะบอกว่าอย่างไร คุณก็ยังรู้สึกว่าไม่ละ ฉันรู้ดีว่ามันไม่เป็นไร” จอห์นกล่าวกับเอเดรียนว่าเอเดรียนพึ่งพาสิ่งที่แอลกอฮอล์อาจให้กับเขามากเกินไป ทั้งการบรรเทาความเบื่อหน่าย ความสามารถในการผ่อนคลาย ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนอารมณ์หรือบรรยากาศจะกลายเป็นเหตุผลสำคัญของการดื่ม ทั้งหมดดูพุ่งไปที่ ‘ผมอยากจะเปลี่ยนมู้ด เพราะผมไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลย ผมไม่ชอบคนที่ผมกำลังเป็น’
เขาถามเอเดรียนว่าถ้าคุณไม่ดื่ม คุณคิดว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไร แน่นอน เอเดรียนไม่รู้ เพราะเขาไม่เคยไม่ดื่ม
“ถ้าคุณดื่มเพราะไม่ชอบตัวเอง คุณแค่ต้องถามตัวเองว่าจะทำยังไงให้ตัวของคุณเป็นที่ชื่นชอบอีกครั้ง ถามตัวเองอีกครั้งว่าคุณกำลังดื่มเพราะอยากรู้สึกดีขึ้นใช่ไหม” จอห์นเสริม
“คุณรู้ไหม เพื่อนของผมเคยบอกว่าโลกที่ไร้แอลกอฮอล์สีสันมันดูจืดชืด แต่ดูสิ พอมองฟ้ามองต้นไม้ โลกก็ยังเป็นของมันอย่างเดิม ทำไมเราต้องใช้แอลกอฮอล์สามสี่แก้วเพื่อให้สิ่งที่เราเห็นมาตลอดชีวิตดูสวยขึ้นด้วย”
คำตอบของจอห์นคือ คนเรามักผูกโยงแอลกอฮอล์ไว้กับช่วงเวลาดีๆ และจนกว่าคุณจะหยุด และแก้ไขความเชื่อนี้ คุณก็จะมองโลกจืดชืดต่อไป
GO or No จะลดหรือจะเลิก
การไปพบนักจิตวิทยาการบำบัดทำให้เอเดรียนได้อะไรมากกว่าที่คิด เขาไม่เคยพูดถึงการดื่มของตัวเองอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อน เพราะเขากลัวทุกเส้นทางที่จะนำไปสู่การยอมรับว่าเขาติดสุรา แต่ทันทีที่เขาเข้าใจเหตุผลและรู้อาการของตัวเอง มันก็ทำให้เขารู้ว่า เขาห่างจากปลายทางอีกไกลหรือใกล้เท่าไหร่ ต่อจุดที่สุราจะกลายเป็นโรคร้ายสำหรับเขา
Frank Skinner นักแสดงตลกและเพื่อนของเอเดรียนที่เลิกเหล้าขาดมาเป็นเวลา 30 ปี กล่าวกับเอเดรียนว่า หลายคนไม่ยอมเลิกเหล้าเพราะกลัวว่าจะไม่สามารถเข้าสังคมหรือไม่มีเพื่อน ในมุมมองของเขา เราจะรู้อย่างแน่ชัดว่าเพื่อนจะอยู่กับเราไหมหากไม่มีแอลกอฮอล์ในความสัมพันธ์ก็ต่อเมื่อเราเลิกเหล้าจริงๆ เสียก่อน ไม่ลองก็ไม่มีวันรู้ ส่วนตัวเขาไม่พบความเปลี่ยนแปลงใดต่อความสัมพันธ์
เขายังบอกอีกว่า จะไม่ออกปากสนับสนุนให้เอเดรียนเลิกเหล้าให้ขาด ถ้าเอเดรียนไม่ได้จำเป็นต้องเลิกจริงๆ เขาเข้าใจว่าความสุขจากแอลกอฮอล์เป็นอย่างไร จนถึงขั้นกล่าวว่า ‘คงไม่มีอะไรมาแทนอุณหภูมิอุ่นๆ และความสนุกสนานที่ได้รับจากการดื่มได้’
‘เอาสิ ดื่มเลย ในเมื่อคุณดื่มได้’ เขาพูดกับเอเดรียน เพราะเขาก็บอกตัวเองอย่างนั้นในช่วงแรกเริ่มของการเลิกเหล้าเช่นกัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยยกแก้วจิบแม้สักอึก อาจเพราะรู้ลิมิตของตัวเอง ไม่ไว้ใจความหลงใหลที่มีต่อมัน หรืออาจเพราะเมื่อเขาตัดสินใจเลิก เขาก็แค่ต้องเลิกด้วยความเต็มใจเท่านั้นเอง
สองเดือนหลังจากถ่ายทำสารคดี เอเดรียนมีวันปลอดแอลกอฮอล์สำหรับตัวเขาเอง หันไปดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์บ้างเป็นครั้งคราว ปริมาณแอลกอฮอล์รายสัปดาห์ของเอเดรียนลดจาก 100 ยูนิต เหลือ 25 ยูนิต ต่อสัปดาห์ และเขาถือว่านั่นเป็นความสำเร็จของเขาในก้าวแรกแล้ว
เรื่องและภาพ: ทีมงาน Alcohol Rhythm