ปี 2008 โลกทั้งใบต้องจดจำชื่อ ไมเคิล เฟลป์ส ในฐานะนักกีฬาสัญชาติอเมริกันที่กวาดเหรียญทองจากการแข่งว่ายน้ำมาทั้งหมด 8 เหรียญในงานโอลิมปิกฤดูร้อนที่ประเทศจีน และไม่เพียงแค่คว้าจำนวนเหรียญทองกลับบ้านไปเยอะที่สุด แต่ในปีนั้น เขายังทำลายสถิติการแข่งขันว่ายน้ำระยะ 200 เมตรที่สถิติ 1:55.84 คว่ำสถิติเก่าของตัวเอง (!!) ที่ความเร็ว 1:55.94 ซึ่งเขาทำไว้เมื่อปี 2003 ไปเพียงเสี้ยววินาที
โอลิมปิกปี 2008 ไม่ใช่การแข่งขันครั้งแรกของเฟลป์ส แต่มันคือสังเวียนแรกที่เขากวาดเหรียญทองล้วนกลับบ้านเกิด
ก่อนหน้านี้ เฟลป์สลงแข่งว่ายน้ำหลายรายการมาตั้งแต่ยังเด็ก จนมาลงแข่งการว่ายน้ำสนามใหญ่ครั้งแรกๆ ราวปี 2001 ในรายการท่าผีเสื้อระยะทาง 200 เมตรที่เขาคว้าเหรียญทอง -ด้วยวัยเพียง 16 ปี- มาได้ในที่สุด
ปีต่อมาเขาลงแข่งชิงถ้วยจากแพน แปซิฟิก สวิมมิ่ง ซึ่งถือเป็นเวทีใหญ่และได้เหรียญทองกลับบ้านมา 3 เหรียญ เหรียญเงินอีกสอง จากนั้นก็แทบไม่มีรายการกีฬาใหญ่ๆ รายการใดเลยที่เฟลป์สจะพลาดชิงชัย
แต่หนทางความสำเร็จระดับโลกไม่ใช่เรื่องง่าย เฟลป์สต้องแลกกับการเคี่ยวกรำฝึกซ้อมล้มประดาตาย แม้ผลของมันจะนำความสำเร็จมาให้เขา แต่อีกด้าน เขาก็พบว่ามันไม่สวยงาม ทำให้เขาเครียดจัด จนต้องหันหน้าไปพึ่งแอลกอฮอล์และยาเสพติดในที่สุด
เฟลป์สเริ่มเรียนว่ายน้ำตั้งแต่อายุราว 7 ขวบแค่เพราะอยากเรียนตามพี่สาวเท่านั้น “ตอนนั้นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมไปว่ายน้ำ คือ แม่อยากให้ผมว่ายน้ำเป็น แค่นั้นเลย” เขาว่า
ในอีก 3 ปีต่อมา เขาก็ล้ำหน้าเด็กวัยเดียวกันด้วยการคว้าแชมป์เยาวชนหลายรายการ และถูกส่งไปฝึกซ้อมกับโค้ชชื่อดังอย่าง บ็อบ โบว์แมน ซึ่งตารางการฝึกซ้อมของโบว์แมนนั้นเรียกได้ว่า ‘เดือด’ เสียจนเฟลป์สแทบไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นอย่างเด็กวัยเดียวกัน
แน่นอนว่ามันเป็นราคาที่เขาพร้อมจะจ่าย แต่ถึงอย่างนั้น ความสำเร็จที่มาเร็วเกินคาดก็ได้เพิ่มความกดดันให้เฟลป์สทีละน้อยโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว ในวัยเพียง 15 ปี เขาคือนักกีฬาที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงแข่งโอลิมปิกปี 2000 และแม้จะกลับบ้านมามือเปล่าโดยไร้เหรียญ แต่มันก็เป็นการแจ้งเกิดเขาในฐานะนักกีฬาอาชีพที่น่าจับตาอย่างยิ่ง
เฟลป์สว่ายน้ำ 7 วันต่อสัปดาห์ (!!) ในระยะทางราว 70,000-100,000 หลาทุกวัน เข้านอนเป็นเวลา 8 ชั่วโมงตั้งแต่หัวค่ำ (“การพักผ่อนมันสำคัญมากอย่างบอกไม่ถูก ผมว่าคนไม่ค่อยตระหนักถึงเรื่องนี้เท่าไหร่นะ” เขายืนยัน) ตื่นเช้ามาฝึกตอนเจ็ดโมงและยกน้ำหนักตอนเก้าโมง พักเที่ยง นอนกลางวัน และว่ายน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเข้านอนตอนสี่ทุ่มตรง
เฟลป์สจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักตัวเพื่อให้เหมาะสมกับส่วนสูงตามธรรมชาติที่ 193 ซม. ซึ่งทำให้เขาได้เปรียบเรื่องระยะการวาดช่วงแขน “ก่อนหน้าไปแข่งที่ปักกิ่ง ประเทศจีน ผมเพิ่มน้ำหนักตัวเองด้วยเวตเทรนนิ่ง เรา (เขากับโบว์แมนผู้เป็นโค้ช) กำหนดน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับผม นอกจากนี้ยังต้องวิ่งออกกำลังกายด้วย ผมวิ่งมากกว่าที่เคยวิ่งมาทั้งชีวิตอีก รวมทั้งพวกวิดพื้นอะไรแบบนี้ด้วย
“ผมจะไม่บอกหรอกว่าเรื่องพวกนี้มันง่าย แต่ถ้าคุณทุ่มเท ฝึกหนักมากพอ รู้ให้ได้ว่าอุปสรรคเล็กจิ๋วที่ขวางกั้นคุณกับความสำเร็จคืออะไร และมีทีมงานที่เหมาะสมอยู่ข้างๆ ตัว มันก็ง่ายขึ้นมาหน่อย”
นอกจากตารางการฝึกสุดโหด เฟลป์สยังต้องดูแลอาหารการกินอย่างเคร่งครัด เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อร่างกาย สำหรับนักกีฬาว่ายน้ำ ค่าของเม็ดเลือดแดงสัมพันธ์กันกับระดับออกซิเจนในปอดและในร่างกายเสมอ ซึ่งค่าของเม็ดเลือดแดงที่เหมาะสมนั้น ย่อมอยู่ที่การวัดระดับวิตามินในร่าง เฟลป์สจึงเข้มงวดกับอาหารมาก “ถ้าธาตุเหล็ก วิตามินบีหรือวิตามินดี หรืออะไรก็ตามในเลือดผมต่ำลงเมื่อไหร่ เราต้องหาทางแก้ไขมันในทันที” เขาว่า
อย่างที่เห็น ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้เขาห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่าแอลกอฮอล์
ดังนั้น จึงแทบไม่มีใครเชื่อว่า ในอีกไม่กี่ปีต่อมา ภายหลังความสำเร็จระดับโลก เฟลป์สจะต้องเข้ารับการบำบัดการติดเหล้าอย่างจริงจัง ท่ามกลางความเอาใจช่วยของครอบครัวและแฟนกีฬา
อันที่จริงก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2004 ด้วยอายุ 19 ซึ่งเพิ่งจะพ้นเกณฑ์ดื่มสุราอย่างถูกกฎหมายของอเมริกามาหมาดๆ พ่อหนุ่มเฟลป์สเคยถูกจับข้อหาเมาแล้วขับในรัฐแมรี่แลนด์มาแล้ว และในปี 2009 ชื่อเสียงของเขาก็อื้อฉาวภายหลังมีภาพเขากำลังปุ๊นกัญชาด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม และอีกครั้งในปี 2014 ที่เขาถูกจับด้วยข้อหาเมาแล้วขับอีกครั้ง เรื่องนี้เองที่ทำให้เฟลป์สเข้ารับการบำบัดในทันที นำไปสู่การรื้อหาสาเหตุที่ทำให้เขาทิ้งตัวลงในน้ำเมาเหล่านั้น
“ผมเครียดมาก รู้สึกได้เลยว่าไม่ได้รักตัวเองอีกแล้ว และเอาเข้าจริงๆ ผมไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ” เขาว่า
ปรากฏว่าเฟลป์สไม่ได้แค่ติดเหล้าอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังมีภาวะซึมเศร้าที่ทำให้เขาต้องหาทางบรรเทาทุกข์ด้วยการดื่ม ซึ่งรังแต่จะทำให้ทุกปัญหาหนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก ความกดดันจากความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ตั้งแต่อายุยังน้อยบีบให้เฟลป์สรู้สึกเสมอว่าเขายังทำได้ไม่ดีพอ และกระหน่ำเฆี่ยนตีตัวเองทางจิตใจเรื่อยมา
“การเป็นนักกีฬามันทำให้คุณรู้สึกว่าคุณต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ต้องก้าวข้ามทุกอุปสรรคได้เสมอ แต่ผมพบว่าอาชีพนี้ทำให้ผมต้องซุกซ่อนปัญหาตัวเองไว้อย่างดีที่สุด” เฟลป์สบอก “ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่โคตรบ้าเลย ผมไม่อยากเจอหน้าใคร เห็นแต่ตัวเองในฐานะที่ทำให้คนอื่นผิดหวัง มันยากที่จะรับได้นะครับ”
สภาพจิตใจที่จมดิ่ง ร่างกายลงเหวกว่าที่เคยเพราะแอลกอฮอล์ วันหนึ่ง เฟลป์สก็พบว่าเขาจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว “ผมขอความช่วยเหลือจากคนรอบตัวในทันที ซึ่งมันโอเคนะ เปลี่ยนชีวิตผมเลยล่ะ ที่ผ่านมาตลอดทั้งชีวิตการเป็นนักกีฬาอาชีพ ผมไม่เคยต้องขอความช่วยเหลือจากใคร นี่เป็นครั้งแรก ผมทิ้งตัวนั่งลงคุกเข่าและร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากคนรอบๆ ตัว”
เฟลป์สต้องเข้าพบนักบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจและสภาพร่างกาย “ผมรู้แล้วว่าที่ผ่านมาผมพลาดอะไรตรงไหนไป และรู้ว่าทำเรื่องแย่มากๆ แต่ตอนนี้ผมก็ต้องมองไปข้างหน้ายังอนาคตที่สุกสว่างมากกว่าจะจมอยู่กับอดีต”
อย่างไรก็ดี แม้จะต้องเข้าพบนักบำบัด แต่เฟลป์สก็ไม่เคยระบุว่าเขาเป็นคนติดเหล้าอย่างจริงจัง เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ด้วยความสัตย์นะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกตัวเองว่าคนติดเหล้าได้ไหม
“ผมตระหนักดีว่านี่เป็นข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน และได้เรียนรู้แล้วว่าทำอะไรลงไปบ้างและจะเรียนรู้ถึงความผิดพลาดนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลือของผม”
และนั่นเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เฟลป์สกัดฟันตั้งมั่นว่าเขาจะไม่ดื่มอีก หากจะยังเดินอยู่ในถนนของนักกีฬาอาชีพต่อไป เขาต้องขึ้นศาลเพื่อว่าความภายหลังถูกหมายเรียกเมาแล้วขับก่อนหน้าการมาถึงของโอลิมปิกที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร บราซิลในปี 2016
“ก่อนผมไปขึ้นศาล ผมบอกตัวเองว่าจะไม่ดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาดจนกว่าการแข่งขันที่ริโอจะผ่านพ้นไป -นั่นหมายถึงว่าหากผมอยากกลับมาดื่มน่ะนะ”
และแน่นอน ดังที่เรารู้กัน โอลิมปิกในครั้งนั้น เขาคว้าเหรียญทองกลับบ้านมานอนกอดที่ 5 เหรียญ และเหรียญเงินอีก 1 เหรียญในรายการแข่งท่าผีเสื้อ 100 เมตร ก่อนประกาศรีไทร์ในปีนั้นนั่นเอง
ที่มา
Michael Phelps Pleads Guilty and Admits Alcohol Problem
เรื่องและภาพ : ทีมงาน Alcohol Rhythm