การอยู่กับสิ่งเดิมๆ บางครั้งอาจทำให้คนรู้สึกเบื่อหน่ายและโหยหาอะไรที่แปลกใหม่ ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ด้วยแล้ว ย่อมเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์พันลึก เห็นได้จากการค้นพบนวัตกรรมต่างๆ หรือกิจกรรมที่ยากจะเข้าใจ
ซึ่งล่าสุด ก็ไปจนถึงขั้นเปลี่ยนจากการ ‘ดื่ม’ แอลกอฮอล์มา ‘สูด’ แอลกอฮอล์แทน
หลายคนคงสงสัยว่าอ่านผิดหรือเปล่า? คำตอบ คืออ่านไม่ผิด จากข้อมูลเว็บไซต์ Healthline ระบุว่ามีบางคนเลือกสูดแอลกอฮอล์ให้เมาแทนการดื่มแอลกอฮอล์แบบเก่า เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสรสชาติของแอลกอฮอล์โดยตรง
วิธีการมีทั้งให้ความร้อนกับแอลกอฮอล์ หรือนำแอลกอฮอล์เทลงบนน้ำแข็งแห้งเพื่อสูดดมไอระเหยที่เกิดขึ้น ไปจนถึงการใช้เครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วยหอบหืดหรืออุปกรณ์ทำให้เกิดไอระเหยแบบประดิษฐ์เองมาเป็นตัวช่วย แต่ไม่ว่าวิธีไหน การกระทำดังกล่าวก็อาจเรียกได้ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งนั้น แม้จะไม่ค่อยมีงานวิจัยรองรับเกี่ยวกับการสูดแอลกอฮอล์มากนัก แต่หลายปัจจัยก็บ่งชี้ว่า เผลอๆ การสูดแอลกอฮอล์อาจสร้างอันตรายมากกว่าการดื่มแบบเดิมๆ เสียอีก
สูดแอลกอฮอล์เต็มปอด
โอบกอดอันตรายเต็มประตู
เมื่อเราสูดหายใจเอาไอระเหยของแอลกอฮอล์เข้าไป แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าไปในปอดทันที จากนั้นโมเลกุลของแอลกอฮอล์จะถูกขนส่งทางตรงจากปอดเข้าสู่กระแสเลือดและสมอง เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณรับรู้ถึงฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ได้อย่างรวดเร็ว หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้คนมักจะรู้สึกว่าเมาในทันทีที่สูดดมเข้าไป เพราะไม่ต้องผ่านระบบย่อยอาหาร รอการดูดซึมเหมือนเวลาดื่มปกติ
‘อาการเมาเร็ว’ จึงอาจเป็นผลลัพธ์ที่น่าอภิรมย์สำหรับการสูดแอลกอฮอล์ แต่ผลกระทบอื่นๆ ต่อร่างกายอาจไม่น่าอภิรมย์ –หรือเรียกได้ว่าค่อนไปทางเลวร้าย ซึ่งสรุปคร่าวๆ ได้ 4 ข้อใหญ่ กล่าวคือ
1.เสี่ยงต่อแอลกอฮอล์เป็นพิษ
การสูดแอลกอฮอล์เพียงนิดเดียวให้ผลเหมือนการดื่มสุราปริมาณมาก ซึ่งการดื่มสุราอย่างหนักทำให้เสี่ยงต่อภาวะที่ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึงขั้นเป็นพิษ เกินระดับร่างจะรับได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า อาการแอลกอฮอล์เป็นพิษ
อาการข้างต้นเป็นภาวะร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต สังเกตได้จากอาการ
– สับสน
– อาเจียน
– ผิวซีด หรือ ผิวมีสีน้ำเงิน
– ชัก
– อุณหภูมิร่างกายต่ำ
– หายใจช้า หรือ ผิดปกติ
– หมดสติ
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งใดควรเตรียมพร้อมไว้เสมอ เช่น บันทึกเบอร์โทรบริการฉุกเฉินในพื้นที่ หากพบคนที่มีอาการแอลกอฮอล์เป็นพิษจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที
2.ปอดเสียหาย
การหายใจเอาไอร้อนเข้าไปทำให้เกิดการระคายเคืองและทำลายปอด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจในระยะยาว อีกทั้งยังเสี่ยงต่ออาการติดเชื้อในปอดสูง
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของการสูดไอระเหยในปอดนั้นมีข้อจำกัด และงานวิจัยที่ศึกษาผลของการสูดแอลกอฮอล์เข้าไปในปอดนั้นก็ยังมีน้อยอยู่
3.เพิ่มความเสี่ยงในการติดแอลกอฮอล์
งานวิจัยส่วนหนึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างการเสพติดกับความเร็วในการลำเลียงแอลกอฮอล์ไปที่สมอง กล่าวคือยิ่งแอลกอฮอล์เดินทางไปถึงสมองเร็วเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสที่จะติดแอลกอฮอล์มากขึ้นเท่านั้น
การสูดแอลกอฮอล์นั้น จะส่งแอลกอฮอล์ไปยังสมองอย่างรวดเร็ว เลยปฏิเสธไม่ได้ว่าความเสี่ยงในการติดแอลกอฮอล์อาจมากขึ้น ทว่ายังไม่มีงานวิจัยรองรับอย่างแน่ชัดว่าจะเสพติดได้อย่างไรบ้าง
4.อันตรายต่อสมอง
นอกเหนือจากเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดแอลกอฮอล์แล้ว การที่สมองได้รับแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็วนั้นสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือกระทบต่อพัฒนาการของสมองได้ จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กและวัยรุ่น เนื่องจากสมองในวัยดังกล่าวยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
อย่างไรก็ดี งานวิจัยส่วนใหญ่ที่ทำการศึกษาผลกระทบของการสูดแอลกอฮอล์กับสุขภาพของผู้คน มักเพ่งความสนใจไปที่สถานการณ์ปกติที่เกิดได้จริงในชีวิตประจำวัน เช่น การสูดดมแอลกอฮอล์จากการทำความสะอาดมือ และต้องยอมรับว่าปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาที่เกี่ยวของกับการสูดแอลกอฮอล์เพื่อทำให้มนุษย์รู้สึกผ่อนคลาย แต่ได้ทำการทดลองศึกษากับหนู และค้นพบบางอย่าง ดังนี้
– หนูแสดงพฤติกรรมวิตกกังวลเพิ่มขึ้นหลังจากการสูดดมแอลกอฮอล์
– การสูดดมแอลกอฮอล์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการทำให้หนูติดสุรา
– หนูแสดงพฤติกรรมโหยหาแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น หลังจากได้รับไอระเหยของแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลานาน
– สำหรับอาการถอนนั้นก็รุนแรงเพิ่มขึ้น เกิดอาการสั่น ความวิตกกังวล การขับเหงื่อ และอาการชัก
ตัวอย่างจากหนูน่าจะทำให้เดาได้ไม่ยากว่าแอลกอฮอล์จะส่งผลต่อร่างกายเราอย่างไร
สูดแอลกอฮอล์ VS ดื่มแอลกอฮอล์
บางครั้งการสูดแอลกอฮอล์อาจถูกมองว่าเป็นทางเลือกใหม่แทนการดื่ม เพราะเชื่อกันว่าให้แคลอรีต่ำและเมาได้ทันที ทว่า ในความเป็นจริงยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ถึงผลประโยชน์สองข้อนี้ อีกทั้งมีสาเหตุอีกมากมายที่ทำให้การสูดแอลกอฮอล์เป็นอันตราย ไม่มากไม่น้อยไปกว่าการดื่มแอลกอฮอล์
1. แคลอรี่ยังเรียกหา
เมื่อสูดแอลกอฮอล์เข้าไป แม้ร่างกายจะไม่ดูดซึมแคลอรีจากน้ำตาลในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะระบบย่อยอาหารไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่ร่างกายยังคงดูดซึมแคลอรีจากเอทานอล หรือสารที่ออกฤทธิ์ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2. วัดปริมาณแอลกอฮอล์ไม่ได้
เมื่อมีการดื่มแอลกอฮอล์ เราสามารถวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่บริโภค ซึ่งทำให้ผู้ดื่มรู้ปริมาณที่ดื่มเข้าไป รวมถึงทำให้แพทย์สามารถดูปริมาณแอลกอฮอล์เพื่อทำการรักษาหากเกิดอาการผิดปกติได้เช่นกัน ทว่า การสูดแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะ 4 ออนซ์ 6 ออนซ์ 8 ออนซ์ ก็เป็นเรื่องยากจะพิสูจน์ได้ว่ามีการสูดดมไอระเหยของแอลกอฮอล์นั้นเข้าไปกี่ครั้ง ถึงจะเทียบเท่าปริมาณดังกล่าว
3. ร่างกายไม่มีทางขับแอลกอฮอล์ออกไปได้
การอาเจียนอาจจะเป็นวิธีที่ร่างกายขับแอลกอฮอล์ส่วนเกินออกไปเมื่อดื่มหนัก เป็นกลไกที่ร่างกายใช้ป้องกันการบริโภคแอลกอฮอล์เกินขนาดในทางหนึ่ง แต่เมื่อมีการสูดแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์จะไม่ผ่านเข้าไปในระบบย่อยอาหาร จึงมองไม่เห็นทางเลยว่าจะขับแอลกอฮอล์ออกไปทางไหน
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะกระตุกคิดขึ้นมาได้ว่า ในบุหรี่ไฟฟ้าเองก็มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบด้วยเช่นกัน โดยบุหรี่ไฟฟ้าทั่วไปเป็นอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ เพื่อให้ความร้อนกับน้ำยาสารเคมีหลายชนิด ผลิตไอระเหยออกมาให้สูดดม น้ำยาดังกล่าวมักมีส่วนผสมของน้ำยาซักผ้าที่เป็นพิษ นิโคติน และแอลกอฮอล์ ซึ่งถึงแม้จะมีงานวิจัยจำนวนน้อยที่ศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากแอลกอฮอล์ในการใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจคิดว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่องกฎหมาย ‘สูดแอลกอฮอล์’
ในสหรัฐอเมริกา การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยการดื่ม สูด หรือวิธีอื่นๆ ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายถ้าคุณอายุต่ำกว่า 21 ปี กฎหมายนี้อาจแตกต่างกันไปในหลายๆ ประเทศ เพราะฉะนั้นควรตรวจสอบกฎหมายในแต่ละแห่งก่อนบริโภคแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ การซื้อ ขาย หรือใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อสูดแอลกอฮอล์โดยเฉพาะยังผิดกฎหมาย 20 กว่ารัฐในอเมริกา
ตัดภาพมาที่ประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 และฉบับแก้ไข ระบุไว้ว่า การขายสุราให้กับเด็กและเยาวชนอาจเข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ขณะที่ข้อกฎหมายที่ใกล้เคียงกับการสูดดม ระบุว่า หากใช้สุราทำน้ำหอม หัวน้ำเชื้อต่างๆ หรือน้ำยารักษาโรคต่างๆ เพื่อการค้า โดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีอัตราโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
เป็นที่รู้กันดีว่าการบริโภคแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านลบต่อสุขภาพ ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ระดับความอันตรายก็ยิ่งสูงขึ้น และไม่มีข้อยกเว้น แม้จะเปลี่ยนจากดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นสูดแอลกอฮอล์ก็ตาม ดังนั้นจะเลือกดื่มหรือเลือกสูด ก็อย่าลืมตระหนักถึงความเสี่ยงทางสุขภาพที่คุณอาจได้รับด้วย
ที่มา :
https://www.prachachat.net/general/news-569723
เรื่องและภาพ : ทีมงาน Alcohol Rhythm