แบรดลีย์ คูเปอร์ เปลี่ยนบทบันทึกการเลิกเหล้า สู่บทหนังชิงรางวัลออสการ์

May 28, 2020


“ผมเลิกเหล้าแล้ว -อย่างเด็ดขาด- การเลิกเหล้าน่ะยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว” แบรดลีย์ คูเปอร์ กล่าวไว้เช่นนั้น ก่อนจะมารับบทนำในหนังที่ว่าด้วยคนขี้เมาเรื้อนเละไปทั้งเรื่องอย่าง The Hangover (2009)

 

 

น่าประทับใจทีเดียวที่นักแสดงหนุ่มฮอตของฮอลลีวูด ซึ่งแจ้งเกิดจากบท ฟิล หนุ่มหน้าหล่อขี้เมาแห่งแฟรนไชส์ The Hangover อย่างคูเปอร์นั้นปฏิเสธการดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาด นั่นเพราะว่าก่อนหน้านี้ คูเปอร์ดื่มแอลกอฮอล์หนักขนาดที่ว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกที นอกจากสติสตังจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เขายังมีแนวโน้มจะไร้สติถึงขั้นพลั้งมือทำร้ายตัวเองจนถึงแก่ชีวิตเอาได้ง่ายๆ

 

ภายหลัง เขานำประสบการณ์ภาวะติดเหล้าอย่างหนักมาใช้ในงานกำกับหนังเรื่องแรกในชีวิตอย่าง A Star Is Born (2018)

 

คูเปอร์เริ่มต้นชีวิตนักแสดงด้วยการรับบทสมทบเล็กจิ๋วจากซีรีส์ที่ดังระเบิดระเบ้อเมื่อช่วงต้นปี 2000 อย่าง Sex and the City ก่อนจะค่อยๆ รับบทสมทบในหนังออกฉายทางโทรทัศน์ แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรนัก

นี่เองที่เป็นสาเหตุหลักๆ ที่คูเปอร์เผยว่าเป็นต้นธารของการดื่มอย่างหนักเพื่อลบความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัยและเคร่งเครียดจากอาชีพการงานที่แข่งขันกันดุเดือดสุดขีดในฮอลลีวูด เขาเป็นเด็กจากฟิลาเดลเฟีย เข้ามาเรียนการแสดงในนิวยอร์ก ขวนขวายอยู่ในวงการด้วยการรับบทเล็กจิ๋วในวัย 24 ปี เพื่อพบว่าเส้นทางอาชีพนี้ไม่ง่ายเลยสักนิด

 

“ผมเอาแต่กังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับผมนะ ว่าตัวเองจะต้องเจออะไรอีก ว่าจะเอาชีวิตรอดจากวันนี้ยังไง” เขาอธิบาย “เอาจริงๆ ผมมักรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกอยู่ตลอดเวลาเลย และคิดอะไรเยอะแยะในหัวไปหมด จนในที่สุด ก็กลัวจับใจว่าอาจจะไปไกลกว่านี้ไม่ได้ ซึ่งทำให้ผมหลอนจนสติแทบแตก หวาดหวั่นว่านี่เราทำชีวิตพังไปหรือยังวะ”

 

คูเปอร์จึงหาทางดับความวิตกกังวลนี้ด้วยแอลกอฮอล์และยาเสพติดเรื่อยมา มันทำให้เขาลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปได้ชั่วคราวในระหว่างที่ต้องวิ่งคัดตัว หางานในเมืองใหญ่ ซึ่งถึงที่สุดแล้ว คูเปอร์ก็พบว่าเขายังไม่พอใจตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองในงานหนังโทรทัศน์หรือซีรีส์ที่รับแสดงเท่าไรนัก ประกอบกับการอยู่ในตัวเมืองเปี่ยมแสงสีอย่างนิวยอร์ก ในอุตสาหกรรมบันเทิงที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย รู้ตัวอีกทีเขาก็มักพาตัวเองไปอยู่ในงานปาร์ตี้ทุกคืน และนั่นยิ่งทำให้เขาถอนตัวจากแอลกอฮอล์ยากลำบากขึ้นอีกหลายเท่า

 

ผลจากการปาร์ตี้ครั้งนั้น มีเหตุการณ์หนึ่งที่เขาจำได้ไม่ลืม และน่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ตรงไหนสักแห่งบนศีรษะเขา “ผมขลุกอยู่ในงานปาร์ตี้ แล้วมีอยู่วันหนึ่งที่ผมอยากโชว์เก๋าให้คนอื่นๆ ในงานได้ดู เลยเอาหัวฟาดพื้นคอนกรีตเต็มแรง เงยหน้ามาอีกที เลือดก็พุ่งไปทุกทิศทุกทาง ผมเลยเอาหัวฟาดพื้นอีกรอบและใช้เวลาทั้งคืนนั้นหมดไปที่โรงพยาบาลเซนต์ วินเซนต์ เพื่อประคบน้ำแข็งเป็นตันๆ รอให้พยาบาลมาเย็บแผล”

 

ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ มิตรสหายหลายคนรอบตัวจึงเริ่มรู้สึกว่า ‘เจ้าแบรด’ ของพวกเขาเริ่มจะหนักข้อขึ้นทุกวันๆ และพยายามลากเพื่อนรักกลับมาอยู่ในโลกแห่งความมีสติสตังให้ได้มากที่สุด ซึ่งปรากฏว่าไม่ได้ผลเท่าไรนัก แบรดลีย์ คูเปอร์ ผู้เอาหัวฟาดพื้นยังคงไม่คิดว่านั่นเป็นพฤติกรรมที่หลุดโลกไปแล้ว (เอ่อ…)

 

“เพื่อนผมก็พยายามเตือนกันมาตลอดแหละ ซึ่งใจหนึ่งผมก็เชื่อพวกเขานะ แต่อีกใจก็ไม่เชื่อ” คูเปอร์ว่า และใช้เวลาหลังจากนั้นอยู่กับกองเหล้าเบียร์มากเท่าที่พอจะหาได้เช่นเคย ไม่ว่าเพื่อนจะเตือนเท่าไร คูเปอร์ก็ยังคิดว่า การล่องลอยอยู่ในโลกของความมึนเมานั้นเป็นความจำเป็นในชีวิตอยู่ดี และเลยเถิดไปถึงขั้นที่ทำให้เขาคิดอยากทำร้ายตัวเองอย่างจริงจัง

 

ช่วงที่คูเปอร์ ‘ดำดิ่ง’ กับโลกแอลกอฮอล์มากที่สุด คือช่วงที่ Alias ซีรีส์โทรทัศน์เมื่อปี 2001 กำลังออกฉาย ตัวซีรีส์ว่าด้วยชีวิตของ ซิดนีย์ (เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์) หญิงสาวผู้รู้สึกว่าถูกรัฐบาลหักหลังและตัดสินใจทวงแค้นทุกอย่างด้วยความสามารถที่มี โดยได้รับความช่วยเหลือจาก วิลล์ (คูเปอร์) หนึ่งในอดีตเพื่อนร่วมงานของเธอ

 

อย่างไรก็ตาม ซีรีส์ที่มีความยาว 5 ซีซั่นเรื่องนี้ จับจ้องไปยังตัวละครซิดนีย์เป็นหลัก และตัวละครวิลล์นั้นปรากฏออกมาเพียงซีซั่นแรกๆ ทำให้คูเปอร์วิตกจริตสุดขีด เพราะเขากลัวว่า ในที่สุดแล้ว ตนจะไม่ได้ปรากฏตัวในซีรีส์เรื่องนี้อีกต่อไป

 

ความรู้สึกตึงเครียดที่คูเปอร์หาทางกลบทับด้วยแอลกอฮอล์ คายผลออกมาเป็นพิษ “มันมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมคิดว่า ‘อยากฆ่าตัวตายจังโว้ย’ อะไรแบบนั้น”

 

หนักหนากว่านั้น ในตอนที่คูเปอร์ยังไม่ทันจัดชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง เขากลับประสบอุบัติเหตุทำเอ็นร้อยหวายตัวเองฉีกจากการเล่นบาสเกตบอล ลงเอยด้วยการถูกส่งตัวไปอยู่โรงพยาบาล และต้องกลืนยาไวโคดิน (Vicodin) ซึ่งมีฤทธิ์บรรเทาปวดเป็นกำๆ

แม้ด้านหนึ่ง ยาดังกล่าวจะช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บของแผล แต่ในมุมกลับ มันก็ทำให้คูเปอร์เสพติดเจ้ายาตัวนี้ไปโดยปริยาย มันออกฤทธิ์ให้เคลิ้มหนักทวีคูณเมื่อผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชนิดที่ว่าถึงอาการบาดเจ็บจะหายขาด คูเปอร์ก็ยังวนเวียนอยู่กับเหล้าผสมเจ้ายาไวโคดินอยู่อีกนานหลายปี

 

“ผมคิดเหมือนกันนะ ว่าถ้าขืนยังทำแบบนี้ต่อ คงได้ทำลายชีวิตตัวเองเข้าแน่ๆ”

 

แต่แล้ว บทจะได้กลิ่นแหม่งๆ ว่าชีวิตตัวเองเริ่มลงเหว ก็เกิดขึ้นง่ายดายกับคูเปอร์ในเช้าแสนธรรมดาวันหนึ่ง “ผมตื่นขึ้นตอนเช้าตรู่ มองออกไปนอกหน้าต่าง จำได้ว่านึกถึงชีวิตตัวเอง อพาร์ตเมนต์ที่อยู่ บรรดาหมาๆ แล้วก็ถามขึ้นมาว่า ‘เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย'”

 

คูเปอร์ต้องกัดฟันเลิกนิสัยติดเหล้าซึ่งสลัดหลุดออกยากเหลือเกิน พอดีกันกับช่วงที่หน้าที่การงานของเขาดูจะเข้ารูปเข้ารอยได้เสียที เมื่อเขาเริ่มขยับจากการแสดงหนังฉายทางโทรทัศน์และซีรีส์ มาสู่การแสดงหนังฉายโรง ที่แม้จะไม่ประสบความสำเร็จหรือยังไม่ได้รับบทนำ แต่ก็พอจะพูดได้ว่า ชื่อของคูเปอร์เริ่มเป็นที่จดจำบ้างแล้วจาก The Midnight Meat Train (2008) และ Yes Man (2008) เรื่อยมาจนหนังที่ทำให้เขาได้ประกบกับเจ้าแม่หนังรอม-คอมอย่าง แซนดรา บูลล็อค ใน All About Steve (2009)

 

“ผมถ่ายทำหนังพวกนี้ ได้เจอแซนดรา บูลล็อค ได้เจอเพื่อนร่วมงานมากมาย แล้วตอนนั้นแหละที่ผมเริ่มเลิกเหล้าได้” คูเปอร์ว่า “มันแบบ ‘ว้าว กลับมาเป็นตัวเองซะทีนะเรา ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งปั้นหน้าว่าเป็นคนอื่น ต่อให้เราเป็นเรา คนเหล่านี้ก็อยากร่วมงานกับเราอยู่ดี มันยังไงน้อ’ อะไรแบบนี้ฮะ ผมว่าการทำงานมันช่วยผมได้มากเลย โคตรจะเจ๋ง”

 

และนั่นคือปีเดียวกันกับที่ The Hangover ออกฉาย หนังทุนสร้าง 35 ล้านเหรียญฯ ที่ว่าด้วยกลุ่มเพื่อนชายต้องตามเช็ดตามล้างวีรกรรมที่พวกเขาก่อไว้ตอนเมาไม่ได้สติในลาส เวกัส ทำเงินไปทั้งสิ้น 467 ล้านเหรียญฯ (!!) แถมยังงอกแฟรนไชส์ต่อมาอีกสองภาค นี่เองที่เป็นบทแจ้งเกิดคูเปอร์อย่างจริงๆ จังๆ และเขาได้รับการจดจำในฐานะ ‘ไอ้หน้าหล่อของกลุ่มขี้เมา’ ในหนัง

 

“ถ้าผมยังติดเหล้าอยู่ ผมคงไม่มีทางมานั่งคุยกับคนอื่นๆ ได้แบบนี้แน่ๆ คงติดหล่มอยู่กับตัวเอง และบางทีอาจจะลากคนอื่นลงเหวไปด้วยก็ได้ ถ้ายังไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิต คงสานสัมพันธ์หลายอย่างที่มีแบบตอนนี้ไม่ได้ คงไม่มีปัญญาดูแลพ่อตัวเองแบบที่ผมทำในช่วงที่เขาป่วยน่ะ”

 

อย่างไรก็ตาม คูเปอร์นำเอาประสบการณ์เลิกเหล้าของเขามาใช้ใน A Star Is Born ว่าด้วยเรื่องของ แจ็คสัน เมน (คูเปอร์ -เล่นเองกำกับเอง) นักดนตรีคันทรีผู้ประสบความสำเร็จในวงกว้าง พบรักกับ อัลลี (เลดี กาก้า) หญิงสาวธรรมดาที่เขาบังเอิญเจอในผับและมีพลังเสียงที่หมดจด จนในที่สุดก็เดินหน้าเป็นศิลปินเช่นเดียวกันกับแจ็คสัน

หากแต่ความน่าเศร้าคือ ท่ามกลางชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ของอัลลีนั้น แจ็คสันพบว่าอาชีพการงานของเขากำลังมอดไหม้ ที่พึ่งสุดท้ายของเขาคือการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก จนนำมาความพินาศทั้งในเชิงการงาน ความสัมพันธ์กับอัลลีและคนรอบตัว

 

“สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังนั้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ลึกที่สุดของผม และนี่เป็นวิธีเดียวที่ผมคิดว่าผมจะสื่อสารกับคนอื่นๆ ได้” คูเปอร์บอก จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นตัวละครแจ็คสันทุรนทุรายจากอาการขาดเหล้า หรือล่องลอยไม่ได้สติในห้วงเวลาที่เขาตกอยู่ในฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ซึ่งคูเปอร์แสดงได้อย่างสมจริงสมจัง และเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของออสการ์ (ก่อนจะพ่ายให้ รามี มาเล็ค แห่งหนังพลังร็อค Bohemian Rhapsody)

 

“เวลาคุณพยายามเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คุณต้องหวนกลับไปยังเรื่องราวในอดีตที่มันเคยเกิดขึ้นกับคุณ ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องหาอ่านจากประสบการณ์จริงของคนอื่นเอา” คูเปอร์อธิบาย “และการได้หยิบจับเอาสิ่งที่คุณเคยผ่านมาแล้วมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวมันก็ช่างงดงามจริงๆ ผมว่ามันเป็นหนทางระบายบางอย่างออกไปจากตัวด้วยนะ จำได้ว่าเรียนเรื่องนี้สมัยอยู่โรงเรียน ครูบอกว่าเวลาเล่าเรื่องอะไรให้ใช้ความดำมืด ความเปราะบางในใจของเรามาใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อเล่าถึงความจริงได้”

 

จนปัจจุบัน คูเปอร์มาไกลจากนักแสดงหนุ่มหน้าใหม่ที่เครียดจัดจากการไม่ประสบความสำเร็จในอดีตจนต้องหันไปพึ่งเหล้ายาดับความวิตก มาสู่การเป็นนักแสดงแถวหน้าค่าตัวหลายล้านเหรียญฯ เข้าชิงออสการ์มาแล้วสี่หนและยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดชะงักลงในเร็ววันนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากเขาไม่ตัดสินใจเลิกเหล้าในเช้าวันนั้น

 

 


 

ที่มา :

https://www.leaf.tv/13717378/how-sobriety-changed-bradley-coopers-life-and-made-a-star-is-born-possible/

 

เรื่องและภาพ : ทีมงาน Alcohol Rhythm

Related Articles