เอลตัน จอห์น นักดนตรีเจ้าของรางวัลแกรมมี่ห้าสมัย เจ้าของเพลง Tiny Dancer ที่ทะยานขึ้นชาร์ตเพลงทั้งฝั่งสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาทันทีที่ถูกปล่อยออกมาในปี 1972 รวมถึงเจ้าของเครื่องแต่งกายสุดสวิงสวายบนเวที … นี่คือภาพที่เราทุกคนเห็นและจดจำจอห์น
แต่เบื้องหลังชื่อเสียงที่ดังเป็นพลุแตก อีกบทบาทหนึ่งของจอห์นคือ ชายร่างเล็กเจ้าอารมณ์ ผู้ครั้งหนึ่งเคยเฉียดความตายเพราะการติดเหล้าและยามาแล้ว
ก่อนที่จะมาเป็นนักดนตรีที่เมายาจนเกือบไม่ได้ลืมตาตื่น และก่อนที่จะมาเป็นศิลปินเจ้าของรางวัลมากมายและรายได้มหาศาล เอลตัน จอห์นคือเรจินัลด์ ดไวต์ เด็กชายตัวจิ๋วจากยานมิดเดิลเซ็กซ์ สหราชอาณาจักร ผู้ใช้ชีวิตวัยเยาวว์อย่างเรียบง่าย เขาขี้อาย พูดน้อย และใช้เวลาส่วนใหญ่หมกตัวอยู่ในห้องเปียโนกับแผ่นเสียงของครอบครัว ซึ่งเป็นต้นธารสำคัญของการบ่มเพาะความสามารถทางดนตรีอันสูงลิบของเขา ซึ่งปรากฏชัดในวัย 17 ที่เขากวาดคะแนนเต็มในวิชาดนตรี (แม้ว่าเขาจะสาธยายในภายหลังว่าเขาไม่ได้ลงแรงกับเรื่องพวกนี้มากนัก “ผมคือเด็กกลุ่มที่หนีซ้อมแต่ก็ยังสอบผ่านนั่นแหละ”) และเริ่มเห็นทางว่า เขาอาจจะใช้ความสามารถและความหลงใหลนี้เพื่อหาเลี้ยงชีพได้ ท่ามกลางสายตาคัดค้านของผู้เป็นพ่อซึ่งหวังอยากให้ลูกชายไปทำงานที่ดูมั่นคงและได้รับการยอมรับในยุค 50s อย่างงานธนาคาร
ความขัดแย้งดังกล่าวพัฒนาไปเป็นการโต้เถียงหลายครั้งระหว่างเด็กหนุ่มกับพ่อ ก่อนจะกลายเป็นการสร้างบาดแผลลึกๆ ในจิตใจที่ทำให้เขาดิ้นรนอยากได้รับการยอมรับอยู่เสมอมา แม้ด้านหนึ่ง บาดแผลดังกล่าวจะเป็นแรงส่งให้เขาตะกายกัดฟันสู้จนประสบความสำเร็จในฐานะนักดนตรี แต่อีกด้าน หลุมดำนี้ก็ชักนำเขาไปสู่การดื่มแอลกอฮอล์และใช้ยาเสพติดอย่างหนัก อันเป็นเรื่องที่เราจะกล่าวถึงต่อไป
จากเรจินัลด์ ดไวต์ เด็กชายขี้อายและพูดน้อย สู่เอลตัน จอห์น นักดนตรีชื่อดังระดับโลก
เรจินัลด์ ดไวต์ ตั้งต้นอาชีพทางดนตรีด้วยการฟอร์มวงกับเพื่อนตั้งแต่ยังวัยรุ่น และโชคชะตาก็เข้าข้าง เมื่อเขาจับพลัดจับผลู มีโอกาสได้เป็นคนแต่งทำนองเพลงคู่กันกับ เบอร์นี ตูปิน นักแต่งเพลงหนุ่มจากลอนดอนที่หวังมาตะกายความสำเร็จในอุตสาหกรรมดนตรีเหมือนกัน และนั่นเป็นการจับคู่ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง โดยพวกเขารังสรรค์เพลงแรกที่ทำคู่กันขึ้นมาในนาม Scarecrow และ 6 เดือนหลังจากนั้น เมื่อเริ่มมีเส้นสายในแวดวงดนตรี เรจินัลด์ ดไวต์ผู้รู้สึกว่าชื่อของเขาไม่แปลกใหม่และไม่สะดุดหูพอ ตัดสินใจเอาชื่อของ เอลตัน ดีน นักแซ็กโซโฟนชื่อดังมาร่วมกันกับ ลอง จอห์น บัลดรี นักร้องชาวอังกฤษ-แคนาดา มารวมกันเป็น เอลตัน เฮอร์คิวลิส จอห์น และไม่เปลี่ยนเลยนับจากนั้น
เส้นทางความสำเร็จของเอลตัน จอห์น พุ่งขึ้นเป็นกราฟสูงลิ่วนับแต่นั้น โดยมีเบอร์นี ตูปิน กอดคอทำงานไปด้วยกัน จอห์นปล่อยอัลบั้มชื่อสุดเก๋อย่าง Empty Sky ซึ่งแม้จะสร้างชื่อให้เขาได้พอสมควรในสหราชอาณาจักร แต่ก็ยังไม่อาจข้ามไปยังแดนที่ใหญ่กว่าอย่างสหรัฐฯ ได้จนกระทั่งอีกหกปีให้หลัง นับจากนั้น จอห์นก็ทำผลงานสร้างชื่อเรื่อยมาและระเบิดเปรี้ยงเมื่อ Tiny Dancer จากอัลบั้ม Madman Across the Water ทะยานติดชาร์ต แต่นั่นยังเทียบไม่ได้กับความสำเร็จของอัลบั้มลำดับต่อๆ มาอย่าง Don’t Shoot Me I’m Only the Piano Player และ Goodbye Yellow Brick Road ที่เดินหน้ากวาดรางวัลจนแทบล้นบ้าน ทั้งยังทำให้จอห์นเดินสายออกทัวร์ครึ่งโลก
และนี่เองที่เป็นประตูบานแรกที่ดึงเขาเข้าสู่โลกของเหล้าและยาเสพติด
ชีวิต (เคย) ติดขวดเหล้าของเอลตัน จอห์น
ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกาในยุค 70 นั้นคือแหล่งยาเสพติดชั้นดีที่ไม่มีเมืองไหนเทียบเคียง มันคือเมืองแห่งแสงสีและเมืองที่จอห์นใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่โรงแรมหรู ภายหลังจากออกแสดงคอนเสิร์ต เขาจะทิ้งตัวลงในห้องและมักจะมีมิตรสหายหรือผู้คนในแวดวงการทำเพลงแวะมาหา พร้อมกับส่งมอบน้ำสีอำพันเป็นเครื่องปลอบประโลมให้หายเหนื่อย ก่อนจะเลยเถิดไปเป็นบุหรี่ กัญชาและผงขาวที่ชื่อโคเคน
“ผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อนเลยจริงๆ คือเพื่อนร่วมวงเขาก็ปุ๊นกัญชาให้ผมเห็นตั้งเป็นปีๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมันนัก และทั้งชีวิตก็ไม่เคยเห็นเลยว่าเวลาคนเขาสูดโคเคนเขาทำกันยังไง” จอห์นบอก
ภายใต้โฉมหน้าของนักร้องหนุ่มที่แต่งชุดเต็มยศ -อันหมายความถึงปีกนก ลูกปัด เสื้อรัดรูปสีจัดจ้านกับแว่นตากรอบประดับเพชร รวมไปถึง ‘เครื่องหัว’ สารพัดชนิดที่คนดูวาดหวังอยากเห็น- ผู้แสดงบทเพลงอย่างเต็มพลังทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวบนเวที เอลตัน จอห์นคือนักร้องที่ใส่ส้นสูงหนาสามฟุตขึ้นไปปีนเล่นเปียโนแล้วกระโดดทิ้งตัวลงมา หรือวิ่งจากด้านหนึ่งของเวทีไปยังอีกด้านหนึ่งตลอดทั้งการแสดงแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาคืออดีตเด็กชายขี้อาย พูดน้อยและก้มหน้าคุยกับมือตัวเองทุกครั้งที่ต้องสนทนากับคนอื่นๆ แต่ชื่อเสียงทำให้เขาต้องพบปะผู้คนมากมาย อันเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจอย่างที่สุดสำหรับคนที่เข้าสังคมไม่เก่งอย่างเขา
“ผมมั่นใจแบบสุดขีดเสมอเวลาผมอยู่บนเวที เพราะเวทีเป็นพื้นที่ของผม นี่เป็นงานที่ผมรัก แต่ว่าพอลงจากเวทีนี่สิ” เขาเล่าอย่างกลุ้มใจ “ผมหาจุดสมดุลให้ตัวเองไม่ได้เลย ผมก็ยังเป็นเด็กขี้อายคนเดิม เวลาผมขึ้นแสดงโชว์ ผมก็ต้องทำอะไรสนุกๆ เพื่อให้ได้โชว์ที่ดี แต่นั่นแหละ มันไม่มีสมดุลในชีวิต ผมพบว่าตอนนั้นเองที่โคเคนทำให้ผมกล้าเปิดใจกับคนอื่นๆ มากขึ้น มันทำให้ผมคุยกับคนแปลกหน้าได้”
และหลังจากที่เขาสูดผงขาวนั่นเข้าจมูก เอลตัน จอห์น หายหน้าไปจากทุกคนสองสัปดาห์เต็มเพื่อหาทางประคับประคองสติของตัวเองหลังจากนั้น ซึ่งเขาบรรยายตัวเองว่า “กลายเป็นคนไม่มีเหตุผล ไร้ความรับผิดชอบ และหมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเอง”
มากไปกว่าเรื่องชื่อเสียงและชีวิตส่วนตัวที่หายไปทีละน้อย จอห์นยังพบว่า เขาพยายามวิ่งหนีการยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเองด้วยการแต่งงานกับ เรเน็ต เบาล์เอล วิศวกรเสียงที่ได้ร่วมงานกันกับเขา และภายหลังอยู่กินกันได้สี่ปี ทั้งสองก็ตัดสินใจแยกทางกัน โดยเฉพาะเมื่อจอห์นเปิดตัวอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาเป็นเกย์
“ผมเสียใจจนทุกวันนี้ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อเรเน็ต” จอห์นกล่าว “ผมแต่งงานกับเธอทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าที่จริงผมไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอเป็นคนสวยและจะทำลายชีวิตผมทิ้งก็ได้ แต่เธอก็ไม่ทำ ซึ่งนี่แหละที่ผมเรียกว่าเพื่อนแท้”
ข่าวคราวการหย่าของเขากลายเป็นอาหารอันโอชะของหนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์ทั้งฝั่งอเมริกาและอังกฤษ ทำให้เขายิ่งเครียดและระเบิดความกราดเกรี้ยวลงในแก้วเหล้า ซึ่งเขาดื่มและเสพอย่างหนัก จนภายหลังเขาออกมาบอกว่า “มีหลายครั้งเลยที่ผมเจ็บหน้าอกอย่างหนัก ไม่ได้นอนติดกันสามวัน มีอาการกล้ามเนื้อกระตุกอยู่บ่อยๆ ทีมงานมักจะพบว่าผมนอนแหมะอยู่บนพื้น จนพวกเขาต้องหามไปวางไว้บนเตียงแทน เพื่ออีกชั่วโมงต่อมาผมจะลุกขึ้นมาเมาแล้วลงไปทำอย่างเดิม
“ผมดื่มจอห์นนี วอล์คเกอร์เข้าไปทั้งขวด แหกตาตื่นอยู่สามวันเต็มๆ แล้วทิ้งตัวลงนอนหลับไปหนึ่งวันครึ่ง จากนั้นก็ตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองหิวไส้แทบขาดเพราะไม่ได้กินอะไรเลย ก็เลยกวาดเอาแซนด์วิชเบคอน ไอศกรีมถังใหญ่ กับเหล้าอีกขวดเข้าปาก แล้วอ้วกออกมาจนหมดเพราะตอนนั้นผมเริ่มเป็นโรคบูลิเมีย (ภาวะความผิดปกติในเรื่องของการรับประทานอาหาร) แล้วค่อยไปดื่มเหล้าใหม่อีกหนจนตาค้างไปอีกสามวัน”
การใช้ชีวิตที่เพิ่มปริมาณแอลกอฮอลให้เลือดมากกว่าน้ำเปล่าเช่นนี้ทำให้ร่างกายของจอห์นพังอย่างรวดเร็ว เขาเคยหมดสติและหายใจไม่ออก จนมีคนมาเจอว่าเขานอนฟุบอยู่บนพื้น (อีกแล้ว) และต้องหามเขาไปรักษาอย่างด่วน แต่ถึงอย่างนั้น การเข้าใกล้ความตายก้าวใหญ่ๆ ครั้งนี้ก็ไม่อาจหยุดการเป็นนักดื่มของเขาแต่อย่างใด
“ตอนนั้นผมพบว่า คนรอบตัวผมล้มหายตายจากไปเยอะมาก แต่ผมก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้ใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้ซะที ซึ่งนั่นแหละเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดของการติดเหล้าและยาน่ะ เวลาคุณเสพยา ดื่มเหล้าและผสมไอ้สองอย่างนี้เข้าด้วยกัน คุณจะเข้าใจไปเองว่าตัวเองเป็นอมตะ
“ผมใช้ชีวิตเสี่ยงสุดขีด ไม่ใช่แค่เรื่องมีเซ็กซ์แบบไม่ปลอดภัยด้วยนะ แต่ยังรวมถึงเรื่องการใช้เหล้าใช้ยานี่แหละ”
และนั่นคือก่อนที่เขาจะได้รู้จักกับ ไรอัน ไวต์ เด็กชายจากอินเดียน่าที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล โดยไวต์ไม่เพียงเป็นต้นธารให้จอห์นหยุดใช้ยาเสพติดและเลิกเหล้า แต่ยังมีส่วนสำคัญในการทำให้จอห์นเคลื่อนไหวให้ความรู้เรื่องโรค AIDS และตั้งมูลนิธิขึ้นมา
ไรอัน ไวต์ เด็กชายผู้เปลี่ยนชีวิต
ไรอัน ไวต์ เป็นเด็กหนุ่มที่มีโรคทางพันธุกรรมคือโรคโมฟีเลีย (โรคเลือดไหลไม่หยุด) จึงต้องได้รับบริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอ โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นเมื่อปี 1984 ที่เด็กชายรับเลือดจากโรงพยาบาลและพบว่าเขาได้รับเชื้อเอชไอวีโดยไม่รู้ตัว ในเวลานั้น เทคโนโลยีทางการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้ามากพอจะผลิตยารักษาที่ต้านอาการป่วยต่างๆ ได้ แพทย์จึงวินิจฉัยว่าที่สุดแล้ว ไวต์จะมีชีวิตอยู่ได้หลังจากนั้นอีกเพียงครึ่งปี (อย่างไรก็ตาม ไวต์มีชีวิตหลังจากได้รับวินิจฉัยนาน 6 ปี และเสียชีวิตในวัย 19 ปี)
“ผมโชคดีมากๆ ที่ได้พบกับไรอัน ไวต์และครอบครัวของเขา” จอห์นบอก “ผมอยากช่วยเหลืออะไรสักอย่างแก่พวกเขา แต่ลงเอยที่พวกเขาเป็นฝ่ายช่วยเหลือผมมากกว่า ไรอันเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเลิกเหล้ายาและตั้งมูลนิธิเกี่ยวกับโรคเอดส์ ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิตได้หกเดือน ผมก็เลิกเหล้าได้ และไม่หวนไปแตะมันอีกเลยนับแต่นั้น”
ภายหลังจากเข้าร่วมงานศพของไวต์ ซึ่งจอห์นได้ร่วมแสดงเพลง Skyline Pigeon เพื่อส่งเด็กหนุ่มเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็ออกมาตั้งมูลนิธิซึ่งระดมทุนได้มากกว่า 400 ล้านเหรียญฯ ตลอดระยะเวลาเกือบสามทศวรรษ
“หลังจากที่เขาจากไป ผมก็รู้ตัวว่าผมเหลือทางเลือกแค่สองทาง คืออยู่หรือไป ทางเลือกไหนที่ผมอยากมี จนผมพูดกับตัวเองว่า ‘ฉันต้องให้คนช่วย’ หรือไม่ก็ ‘ใครก็ได้ช่วยที’ แล้วจากนั้นแหละที่ชีวิตผมพลิกกลับ หลังจากที่ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์อย่างเลอะเทอะสุดขีดมา 16 ปีเต็ม”
อย่างไรก็ดี จอห์นเข้าใจดีว่ากระบวนการเลิกเหล้านั้นไม่ง่าย เขาเขียนบทความที่หวนรำลึกถึงตัวเองภายหลังหายขาดจากอาการติดแอลกอฮอล์ลงนิตยสาร variety ในปี 2019 ว่า “พอคุณพ้นจากช่วงบำบัด คุณจะรู้สึกเหมือนเกิดใหม่เลย เหมือนมีคนถอดคุณออกมาจากสิ่งเก่าๆ คุณจะรู้สึกเปราะบางเหลือเกิน เหมือนได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับคู่มือการใช้ชีวิตเล่มใหม่ ผมกังวลอยู่บ้างว่าจะกลับมาทำงานทำการได้อีกไหม แต่ในกระบวนการบำบัดคนติดเหล้าจะสอนให้คุณใช้ชีวิตกับปัจจุบัน ใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้ ช่วงนี้นั่นแหละ”
Was Elton John addicted to drugs and alcohol and when did he get sober?
เรื่องและภาพ: ทีมงาน Alcohol Rhythm