ไม่ล้ม-ไม่เลิกสุรา บันทึกของหลานต่อตาผู้รักเหล้า

July 13, 2020


“กรีดแขนออกมาไม่แน่ใจว่าจะออกเป็นเลือดหรือเหล้า” คือคำนิยามที่มีต่อ ‘ตา’ 

ในทัศนะของหลาน ตาเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ผูกพันกับเหล้าเบียร์มากที่สุดเท่าที่เคยพบเจอ เมื่อลองค้นลงไปในความทรงจำ ภาพของชายวัยกลางคนตัวสูง ผิวคล้ำแดด ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ปรากฏตัวบนเก้าอี้คู่ใจด้านหน้าเคาน์เตอร์ร้านอาหาร พร้อมกับปลาหมึกบด และแก้วสีชาอยู่ข้างกายไม่ห่าง เป็นภาพที่ประทับในความทรงจำช่วงวัยเด็กมาตลอด แม้ปัจจุบันหลายๆ สิ่งจะจางหายไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม

สิ่งที่หลานจำได้ดี คือ ตาเป็นคนดื่มเยอะ ทุกวันต้องเดินเข้าบ้านมาพร้อมกระป๋องเบียร์คู่ใจ ตลอดช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ครอบครัวทำร้านอาหาร กล่าวได้ว่าในร้านจะมี ‘ที่ประจำ’ สำหรับการดื่มของตา คือ เคาน์เตอร์ซึ่งใช้นั่งดื่มขณะดูแลร้านอาหาร และเมื่อคนบางตาลง ก็จะย้ายที่ไปนั่งก๊งกับผองเพื่อนตรงซุ้มม้านั่งสองโต๊ะในร้านอีกแห่ง 

ตาสำราญกับสุราอย่างหนักเกือบทุกวัน อย่างที่นอกจากจะเห็นด้วยดวงตาของหลานเองแล้ว ประวัติการดื่มกินก่อนหน้าของตาผ่านคำบอกเล่าก็เด็ดไม่แพ้กัน

 

วีรกรรมน้ำเมา

 

น้ำเมาขับเคลื่อนชีวิตตา ตั้งแต่วัยหนุ่มจนมาถึงปัจจุบัน ยายเล่าให้ฟังว่าตอนตามาจีบยายช่วงแรกๆ ตาดันไปกินเหล้ากับเพื่อนฝูงก่อนมาหาที่บ้าน เมาเละเทะจนเดินตกสะพานลงไปในขี้เลน ต้องอาศัยญาติของยายช่วยพยุงขึ้นมา ส่วนแม่เองก็เล่าให้ฟังว่า ตาเคยไปกินเหล้าจนฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ความกล้าในตัวล้นปรี่ ถึงขั้นไปท้าลุงข้างบ้านที่เคยเป็นนักมวยเก่าต่อยเพื่อการกุศลในงานวัด ซึ่งแม้จะเมาแต่ตาก็ยังจำได้ (และมีคนในตลาดช่วยกันจำด้วย)

พอถึงวันจริง ตาจึงรับผิดชอบด้วยการขึ้นชกตามคำท้า โดยมีแม่ที่ตอนนั้นอายุขึ้นต้นด้วยเลขสิบ และป้าๆ ข้างบ้านไปเป็นพี่เลี้ยง พร้อมแอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มชูกำลัง ช่วยปลุกปั้นความกล้าก่อนขึ้นสังเวียน ต่อยไปต่อยมา ไม่รู้ต่อยกันท่าไหน ลุงข้างบ้านถึงได้เหยียบเท้าตาจนเป็นตาปลา หมอต้องบอกให้ยุติการแข่งขัน แต่แม้จะไม่รู้ว่าใครแพ้ชนะ การชกในวันนั้นก็ทำให้ยอดบริจาคการกุศลพุ่งสูงขึ้นกว่าปกติ

นอกจากเรื่องตลกๆ แล้ว เหล้าเบียร์ก็ชักนำตาไปสู่ด้านมืดเช่นเดียวกัน ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ปลุกความกล้า ลดความยับยั้งชั่งใจ ทำให้หลายครั้งตาเข้าไปเกี่ยวพันกับการพนันจนเคยสูญเสียเงินทองมหาศาล หรือจากปกติสามีภรรยาไม่เคยโต้เถียงกัน น้ำเมาก็ทำให้ตากับยายมีปากเสียงกันเวลาตาดื่มอยู่เสมอ…

 

ยันต์กันห้ามดื่ม

 

“ไม่ต้องมาเคาะโลงให้กินอะไร ตอนมีชีวิตอยู่ขอกินเบียร์” คือคำที่ใช้ต่อสู้กับทุกคนที่ขอให้เลิกดื่มแอลกอฮอล์เสียที คนทั้งบ้านพยายามห้ามปรามตาเรื่องการดื่มเหล้าหลายครั้ง แต่ตาก็ไม่ฟัง พร้อมเล่นมุกให้คนหัวเราะ ก่อนจะดื่มอึกใหม่ 

เหตุผลหนึ่งที่ถึงแม้คนในครอบครัวจะอ่อนใจ หากไม่กล้าว่าตามาก คือ ตาเป็นคนมีความรับผิดชอบตัวเองสูงมาก ตาจะตื่นมาตอนตีสามทุกวันอย่างกับตั้งโปรแกรมเพื่อทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่เคยสักครั้งที่จะเป็นภาระ หรือตื่นสายแล้วไม่ยอมทำงาน และเพราะงานที่ตาทำ เป็นงานที่ต้องใช้แรงงาน การเห็นตาหัวเราะร่าหิ้วเบียร์กระป๋องมาจึงทำให้ทุกคนในบ้านเข้าใจว่า นี่คือความสุขของเขา

นอกจากความรับผิดชอบแล้ว การที่เลิกทำร้านอาหารก็ช่วยให้ตาลดปริมาณการดื่มลง รวมถึงแต่ไหนแต่ไร ตาก็มักงดเหล้าทุกเข้าพรรษา ทำให้คนในบ้านสบายใจขึ้นมาบ้าง ซึ่งช่วงนั้นภาพความเฮฮา ตลกขบขันก็อาจน้อยลง แทนที่ด้วยภาพตาผู้นิ่งขรึมมากขึ้น บางทีก็คล้ายจะโรยแรงกว่าที่เคย

 

คืนเหตุการณ์

 

กาลเวลาหมุนเวียนผ่านไป ผมของตาเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา ร่างกายเสื่อมถอยลง จะคุยกับตาแต่ละทีต้องคุยดังๆ จนคนในละแวกบ้านรู้กันหมด แข้งขาที่เคยกระฉับกระเฉงก็อ่อนแรงลง แต่ความจำ และอารมณ์ขันที่แจกจ่ายให้ทุกคนยังคงเต็มเปี่ยม ทุกอย่างดูปกติดีจนมาถึงคืนที่เกิดเหตุ

ช่วงเวลาประมาณห้าทุ่ม เสียงรถยนต์ดังขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังตามมา น้าโทรมาบอกว่าตาล้ม จะต้องพาไปโรงพยาบาล ดูท่าว่าคราวนี้จะอาการหนัก คืนนั้นเป็นคืนที่ยาวนานในความรู้สึก หยดน้ำตาของหลานไหลลงมาเพราะกังวลในความเป็นความตายของตา

มารู้ทีหลังจากคำบอกเล่าของยายว่าตาท้องเสีย ตอนแรกเข้าห้องน้ำมาแล้วกลับมานอนในห้อง ก่อนจะรู้สึกมวนท้องไส้จนออกไปอีกครั้ง คราวนี้หน้ามืด เป็นลมล้มลงไปชนกับข้าวของจนหน้าผากแตกยาวเป็นทางเลือดไหลอาบ ยายได้ยินเสียงดังจึงออกมาดู เห็นภาพตาอาเจียนออกมาเป็นลิ่มเลือดสีดำเยอะมาก เห็นครั้งแรกมองไม่ออกว่าเป็นอะไร กระทั่งเห็นของเหลวสีแดงถึงรู้ว่าเป็นเลือด ทั้งอุจจาระและปัสสาวะซ่านกระเซ็นบริเวณนั้น 

ยายเล่าว่าในความคิดที่ไม่ได้บอกใคร คิดว่าคืนนั้นคงเป็นคืนสุดท้ายของตา

 

แต่ตาไม่ยอม…

 

ถึงเวลาเลิกเหล้า

 

เช้าวันต่อมา ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ เมื่อขึ้นไปยังชั้นผู้ป่วยชาย ภาพที่พบเห็นเป็นเตียงมากมายเรียงออกมาล้นห้อง ก้าวเท้าเข้าไปในห้องรวม เสียงพัดลมและเสียงพูดคุยล่องลอยในอากาศ ผู้ป่วยบางส่วนเป็นชายวัยใกล้เคียงกันกับตา ผิวคล้ำดำแดงนอนเปลือยกาย ใส่เพียงผ้าอ้อมผู้ใหญ่ บางคนใส่เสื้อผ้าหยิบผ้าห่มคลุมตัว

หนึ่งในผู้ป่วยเหล่านั้น คือตาผู้นอนบนเตียงอย่างอ่อนแรงแตกต่างจากภาพปกติ บนหน้าผากติดผ้าก็อตขนาดใหญ่ มีสายยางให้น้ำเกลือ และสายยางให้เลือดต่ออยู่ ข้างกายมียายคอยยืนเฝ้า และเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ตลอดทั้งคืน เพราะขณะนั้นตายังมีอาการท้องเสีย

“ไปเตือนน้องด้วยนะว่าอย่าดื่มเยอะ เออ แต่น้องยังเด็กก็กินไปเหอะ” ตาเอ่ยประโยคแรกเมื่อเจอหน้ากัน แม้ว่าในช่วงแรกจะไม่สามารถระบุว่าเป็นโรคอะไรอย่างชัดเจน แต่หมอและพยาบาลต่างเข้ามาเตือนตาว่าให้เลิกเหล้า กินไม่ได้แล้วนะ ไม่งั้นอาการจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต พร้อมกับชี้ให้เห็นเพื่อนข้างเตียงที่เจ็บป่วยรุนแรงกว่าจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

หลังหมดเลือดไป 2 ถุง และนอนโรงพยาบาลกว่า 4 วัน หมอก็ชี้แจงว่า ตามีอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร อาการดีขึ้นแล้วให้กลับบ้านได้ ก่อนจะนัดติดตามผลการรักษาในอีกสามวันถัดมา

เมื่อแอบแซวว่าอย่างนี้ก็อดกินแล้วสิ ล้มครั้งนี้อาจนำไปสู่การเลิกเหล้าแน่เลย ตาผู้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าร่างกายไม่เป็นดังเดิม ตอบว่าอนาคตยังไม่แน่ จะดูแลร่างกายให้ดี เลิกเหล้าไปก่อนสัก 3 พรรษา หวังว่าในอนาคตตัวเองจะยังได้กลับมาลิ้มรสเหล้าที่รักอีกครั้ง…

 

 


เรื่องและภาพ: ทีมงาน Alcohol Rhythm

Related Articles