ประสบการณ์ที่ผ่านมาในฐานะคนติดเหล้า ญาติของคนติดเหล้า และผู้ได้รับผลกระทบจากคนติดเหล้า ทำให้ ธวัชชัย กุศล รองหัวหน้าโครงการศูนย์ปรึกษาปัญหาสุรา สายด่วนเลิกเหล้า 1413 เข้าใจว่าเบื้องหลังของการดื่มสุราของหลายๆ คน มีเรื่องราว ความทุกข์ และความเครียดที่ต้องการคนรับฟัง
ดังนั้นสิ่งที่เขาเน้นย้ำอยู่เสมอ คือ การทำความเข้าใจ ให้กำลังใจ เพื่อช่วยให้คนสามารถเลิกเหล้าได้สำเร็จ
Alcohol Rhythm เปลี่ยนจังหวะชีวิตคนติดเหล้า เก็บทัศนะส่วนหนึ่งจาก บทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม ของธวัชชัย กุศล นักจิตวิทยาบำบัดผู้ติดสุรา และวิทยากรผู้จัดอบรมเคล็ดลับเลิกเหล้าในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มาเล่าให้คุณฟังอย่างง่ายๆ ว่า ที่มาที่ไปของการติดสุราของคนส่วนใหญ่คืออะไร ทำไมคนเลิกเหล้ายาก และคนใกล้ชิดอย่างเราจะดูแลผู้ติดสุราได้อย่างไร
:: จากลูกคนติดเหล้า คนดื่มเหล้า สู่นักบำบัด ::
คุณเริ่มต้นสนใจการทำงานด้านการบำบัดผู้ติดสุราได้อย่างไร
ผมมีคุณพ่อเป็นนักดื่มที่มีภาวะติดสุราเรื้อรัง (alcoholism) ตั้งแต่ก่อนผมเกิด ท่านเกิดในยุคสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่มีความวุ่นวาย และต้องทำงานหนัก ดังนั้น เขาจึงเป็นคนที่มีความเครียดสูง ทีนี้ตัวคุณปู่เองก็เป็นคนดื่มเหล้าและมีภาวะติดสุราเรื้อรังเหมือนกัน ท่านจึงเห็นแบบอย่างมาจากคุณปู่ ต่อให้คุณพ่อไม่ได้ชอบปู่ที่กินเหล้า แต่เขาก็ดื่มเหล้าเวลาเขาเครียด และชอบใช้ความรุนแรงเวลาเมา
ตัวผมเองมีส่วนคล้ายกับคุณพ่อ คือเป็นวัยรุ่นที่เห็นพ่อดื่มเหล้ามาตลอด และผมไม่ได้ชอบที่พ่อดื่มเหล้าแล้วใช้อารมณ์ แต่ตัวเองก็ดื่มเหล้า เพราะมีเพื่อนชวน พอดื่มแล้วเรารู้สึกว่ามีสังคม มีความสุขกับการดื่ม เวลาเครียดเราก็ดื่ม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราถึงเกลียดพ่อ แต่ไม่เกลียดเหล้า
ผมเริ่มสนใจว่ารากฐานความรุนแรงของคุณพ่อเป็นมาอย่างไร ทำไมเขาถึงดื่มเหล้า และผมอยากทำความเข้าใจตัวเอง ทำให้ผมเลือกเรียนจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ที่รามคำแหงมีจิตวิทยาด้านหนึ่ง เรียกว่าจิตวิทยาครอบครัว เป็นการทำความเข้าใจว่าแต่ละคนมีรากฐานที่มาเป็นอย่างไร และส่งผลต่อพฤติกรรมอย่างไร เดิมผมรู้อยู่แล้วว่าพ่อมีปู่ที่ดื่มเหล้า เมื่อเรียนจึงได้เข้าใจว่าภายในครอบครัวผมส่งต่อปัญหาเรื่องดื่มเหล้ากันมา
จากเดิมผมคิดว่าตัวเรากับคุณพ่อคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลือกคุยกับพ่อโดยตรงว่าเขาดื่มเหล้าเพราะอะไร ทำไมถึงใช้ความรุนแรง พ่อก็เล่าปัญหาของเขา และบอกว่าเขาเห็นปู่ทำแบบนี้ เรียนรู้มาแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าเวลาเครียดต้องทำอย่างไรนอกจากดื่มเหล้าและใช้ความรุนแรง ตอนที่เขาเล่า เขาไม่ได้เล่าด้วยความรู้สึกสะใจหรือมีความสุข แต่เล่าด้วยความรู้สึกเสียใจ ผมจึงเข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมด ว่าทำไมพ่อเป็นแบบนี้ และผมเป็นแบบนี้
ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่ได้เกลียดพ่อ และผมเข้าใจว่าทำไมหลายๆ คนใช้เหล้าเป็นทางออกของปัญหา เข้าใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคนติดเหล้า รวมถึงตัวผมเองก็เคยติดเหล้าด้วย แต่เราก็มีชีวิตที่ดีได้ ในเมื่อเราทำได้ เราก็อยากให้คนอื่นทำได้เหมือนเรา นั่นทำให้ผมมาทำงานด้านนี้
:: เข้าใจปัญหา มองให้ลึกกว่าการดื่มสุรา ::
กระบวนการบำบัดคนติดสุรามีขั้นตอนอย่างไร
เราเริ่มต้นจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เข้ารับการบำบัด เพราะเวลาเราอยากรู้จักคนอื่น ต้องเริ่มจากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก่อน แล้วพูดคุยสำรวจปัญหาเพื่อทำความเข้าใจ ทั้งตัวเราเข้าใจเขา และทำให้เขาได้เข้าใจตัวเองว่าติดระดับไหน ต้องแอดมิทไหม ต้องบำบัดไหม หรือแค่เพิ่งเริ่มติด หยุดดื่มได้เองไม่ต้องพบหมอ หรือติดระดับปานกลาง กินยาแต่ไม่ต้องรับการบำบัด
เมื่อเขาเข้าใจจุดที่ตนเองยืนอยู่ กระบวนการถัดมาจะง่ายมาก คือหาทางแก้ไข ซึ่งไม่ใช่ว่าเราไปแก้ปัญหาให้กับเขา แต่ทำให้เขาย้อนมองว่าก่อนหน้านี้ได้ลงมือทำอะไรบ้าง ด้วยวิธีการอย่างไร ที่มันไม่สำเร็จเพราะอะไร สุดท้ายให้เขาได้สรุปจากการพูดคุยด้วยตัวเองว่า สาเหตุที่แท้จริงของการดื่มเหล้าคืออะไร แล้วจะทำอย่างไรต่อไป
เราต้องช่วยเขาทำความเข้าใจรากเหง้าของปัญหา เพื่อจะได้แก้ไขอย่างตรงจุด ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่าเวลาคนเราปวดหัว มักจะนึกถึงยาพารา พอกินแล้วก็หายปวดหัว แต่ไม่ได้คิดต่อว่าสาเหตุของการปวดหัวคืออะไร พอปวดหัวอีกครั้ง ก็กินยาพาราอีก กินไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่ได้แก้ที่สาเหตุที่แท้จริงของปัญหา
ดังนั้น ปัญหาที่ทุกคนพามาหานักบำบัดจึงไม่ใช่แค่เรื่องเหล้า การดื่มเหล้าเป็นแค่วิธีการที่เขาแสดงออกว่ากำลังหนีทุกข์เพื่อหาสุข แต่ความสุขนี้กลายเป็นการเสพติด ต่อให้มีความสุขอย่างไร เมื่อถึงจุดหนึ่ง ร่างกายคุณจะทรมานถ้าไม่ได้ดื่ม หน้าที่ของเราจึงต้องฟังและช่วยเขาสรุปต้นตอของปัญหา ทำให้เขาเห็นมุมมองใหม่ๆ ว่ามีทางเลือกอื่นๆ ที่ดีกว่าการดื่มเหล้า ซึ่งตรงนี้ต้องใช้เวลาคุยกัน ฟังกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เปิดโอกาสให้เขาได้พูดในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขและอยากมีชีวิตอยู่คืออะไร รวมถึงให้กำลังใจว่าเขามีความหมายต่อเราอย่างไร
:: หน้าที่ของนักจิตวิทยา คือการเดินเคียงข้าง ::
ไม่ว่าศาสตร์จิตวิทยาด้านไหนก็ฟังดูเหมือนจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการทำให้ผู้เข้ารับการบำบัดเข้าใจตัวเอง
ถูกต้อง และเมื่อเขาเข้าใจตัวเองแล้ว เราต้องช่วยทำให้เขารู้ว่าเป้าหมายของเขาคืออะไรด้วย โดยผ่านวิธีการที่เรียกว่า motivation interviewing หรือการคุยเพื่อสร้างแรงจูงใจ
เราจะถามว่าลึกๆ แล้วที่คุณอยากเลิกเหล้าเพราะคุณอยากให้อะไรเปลี่ยนไปจากเดิม สิ่งที่คุณต้องการคืออะไร ทำให้เขาเห็นและพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ สมมติถ้าเขาเล่าว่าอยากเลิกเหล้าเพื่อลูก อยากทำให้ลูกรับรู้ว่าตัวเองเป็นคุณพ่อที่มีความตั้งใจ ผมจะช่วยสะท้อนกลับไปว่าคุณเลิกเหล้าเพราะอยากเป็นพ่อที่ดี อยากเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก อยากให้ลูกมองว่าคุณเป็นพ่อที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
หรือถ้าเขาเล่าว่า ถ้าเลิกเหล้าได้ ภรรยาจะไม่ทิ้งเขาไป ผมก็จะไม่แปลความว่าเพราะคุณกลัวถูกภรรยาทิ้งเลยอยากจะเปลี่ยน แต่จะบอกว่าคุณอยากเปลี่ยนเพราะต้องการครอบครัวที่อบอุ่น อยากให้มีคนรักมากขึ้น อยากมีคนให้กำลังใจมากขึ้น เขาจะรู้สึกว่าใช่
หน้าที่ของเราคือฟัง ใช้คำถาม และสะท้อนสิ่งที่เขาพูดให้เขาได้ยิน เพื่อทำให้เขาอยากไปถึงเป้าหมาย และการที่เขาตั้งเป้าหมายจะทำให้เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยน มีปัญหาอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไม่ได้ และจะแก้มันอย่างไร ซึ่งเราจะช่วยกันลดอุปสรรคตรงนั้นด้วย
ถ้าเราเสนอทางเลือกต่างๆ โดยไม่รู้เป้าหมายหรืออุปสรรคของเขา จะทำให้ช่วยเหลือเขาไม่สำเร็จ ฉะนั้น เราต้องรู้เป้าหมายของผู้เข้ารับการบำบัดเพื่อรู้วิธีว่าจะร่วมเดินไปกับเขาอย่างไร หน้าที่ของนักจิตวิทยาไม่ใช่การเดินนำหน้า แต่เป็นการเดินไปกับเขา ทำให้เขารู้ว่าตนเองมีศักยภาพ และไม่ได้กำลังเดินอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรายังอยู่กับเขา เมื่อทำแบบนี้แล้วทุกคนจะรู้สึกว่าสามารถเลิกได้ง่ายขึ้น
:: กำลังใจคือสิ่งสำคัญ ::
การบำบัดของนักจิตวิทยามักเน้นการพูดคุยเป็นหลัก ถ้าผู้เข้ารับการบำบัดไม่ยอมเปิดใจพูด เราจะมีวิธีทำอย่างไรให้คนเปิดใจ
ส่วนใหญ่เราใช้วิธีสร้างความสัมพันธ์ ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ให้ช่วยเหลืออย่างไร เราจะไม่ถามเรื่องที่เป็นปัญหาเพราะเรารู้ว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวและฟังดูเป็นความสงสัยใคร่รู้มากกว่าความใส่ใจ เช่น เวลาเขาบอกว่าผมอยากจะเลิกเหล้า แล้วเราถามย้อนกลับไปว่าคุณมีปัญหาอะไร คุยแต่เรื่องที่เป็นปัญหาจะยิ่งทำให้เขาเครียด รู้สึกหดหู่ และไม่อยากคุยกับเรา เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าตัวเองมีปัญหา แต่เพราะมีปัญหาไงถึงได้มา
ตอนที่เขามาหาเราหมายความว่ามันถึงวิกฤตสำหรับเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงมาด้วยความหวัง ต้องการพลังใจและคนที่ไม่ซ้ำเติมเขา เราจึงไม่คุยเรื่องปัญหา แต่จะคุยเรื่องผลกระทบ ชี้ให้เขาเห็นว่าถ้าวันนี้ไม่เปลี่ยน ไม่ทำอะไรสักอย่าง มันจะเกิดอะไรขึ้น อีกสองสามปีจะเกิดอะไรขึ้น จากนั้นให้เขาตัดสินใจและตั้งเป้าหมายของตัวเอง
ถ้าเป็นการพบกันต่อหน้า ผมจะใช้การสบตา ภาษากาย บอกให้เขารู้ว่าผมเข้าใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมเคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่ถ้าเป็นการโทรเข้ามาที่สายด่วนเลิกเหล้า 1413 คำถามที่เราจะถามคือ โทรติดยากไหม คงต้องรอสายนานเพราะบริการสายให้คำปรึกษาของเรามีน้อย วันนี้ที่โทรเข้ามามีอะไรให้เราช่วยเหลือหรือเปล่า
คนอาจจะถามว่าง่ายแค่นี้เองเหรอ ใช่ครับ คนที่โทรเข้ามามีน้อยคนที่ไม่อยากพูดเรื่องราวของตัวเอง ต่อให้เขาโทรมาแล้วขอแค่วิธีการแบบไวๆ เราก็จะให้ข้อมูล แล้วสร้างความสัมพันธ์ผ่านคำถามที่ย้อนกลับไปสู่เรื่องราวของตัวเขา เช่น ตอนที่โทรเข้ามาคุณรู้สึกอย่างไร เหนื่อยไหม ที่คุณโทรเข้ามาเพราะมีเรื่องราวที่คุณต้องตัดสินใจเยอะเลยใช่ไหม เราย้อนถามถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเขาเพื่อทำความรู้จักกับเขา ดูว่ามีอะไรที่เราสามารถให้เขาได้มากกว่าวิธีบำบัดอีก ถามถึงความตั้งใจที่ทำให้อยากจะโทรเข้ามา สาเหตุที่อยากจะเลิกเหล้าเพราะอะไร แล้วเดี๋ยวเขาจะพูดได้เยอะเลย
:: อุปสรรคสำหรับคนเลิกเหล้า ::
นอกจากความไม่พร้อม ยังมีอุปสรรคอะไรอีกที่คนอยากเลิกเหล้าต้องเผชิญจนทำให้เลิกได้ยาก
ความยากมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือการต้องอดทนต่อความทรมานเวลาหยุดดื่ม คนเลิกดื่มเหล้าทุกคนจะมีอาการที่เรียกว่าถอนเหล้า คือ อาเจียน เหนื่อยเพลีย กินน้ำเยอะ และอาจมีโรคกระเพาะตามมา เราจะเตือนเขาว่าการเลิกเหล้าต้องเจออาการอะไรบ้าง ต้องหาทางจัดการกับมันอย่างไร ถ้าเป็นคนที่เคยลองเลิกมาก่อนแล้ว เราจะทวนให้เขาเตรียมใจว่าจะเจอกับอาการเหล่านั้นอีก ชักชวนให้เขาพูดวิธีที่จะจัดการกับตัวเองให้ฟัง ทำให้เขารู้ว่าเขามีศักยภาพที่จะอดทนต่อมัน
ความยากเรื่องที่สองคือการที่เขาต้องเจอกับสภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ ที่กระตุ้นให้เขาอยากดื่ม เช่น สภาพแวดล้อมที่ทำให้เขาเกิดความเครียด ผมก็พยายามช่วยให้เขารู้ถึงสาเหตุจะได้ไปแก้ที่ต้นตอ และแนะนำว่าให้หาความสุขในแบบอื่น อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การกลับไปดื่มเหล้า อาจจะเป็นเรื่องการดูแลตัวเองง่ายๆ อย่างเหนื่อยก็นอน หิวก็กิน หาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ
บางคนก็บอกว่ากลับไปดื่มเพราะเพื่อน เพื่อนมักจะชวนดื่มจนทำให้เลิกไม่ได้ ดังนั้น สำหรับคนที่จะเลิกดื่ม ผมบอกเสมอว่าต้องไม่กลับไปเจอเหล้าอีก และพยายามให้เขาคิดวิธีปฏิเสธเวลาถูกชักชวน
คนติดสุราหลายคนเชื่อว่าเมื่อมาบำบัดจนหาย จะสามารถกลับไปดื่มได้โดยไม่ติดอีก ซึ่งผมต้องบอกว่ามันไม่ได้ เพราะคุณเคยมีประสบการณ์และคุณไม่สามารถลืมได้ การเลิกเหล้าจึงจำเป็นต้องอาศัยวินัยของตัวเอง คุณอาจจะรู้สึกอึดอัด ต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่คุณต้องเปลี่ยน เพราะคุณเองก็รู้ว่าถ้าไม่เปลี่ยนจะเกิดอะไรขึ้น ผมแนะนำว่าเมื่อมีวินัยแล้ว อย่าลืมให้รางวัลกับตัวเองด้วย มิฉะนั้นสุดท้ายคุณจะเกิดความเบื่อ
:: ความสัมพันธ์ที่ดีต้องมาก่อนการแก้ปัญหา ::
ในมุมของคนที่มีพ่อเป็นผู้ติดสุรา คุณมองคุณพ่อเป็นอย่างไร และช่วยเหลือให้เขาเลิกเหล้าอย่างไร
คุณพ่อของผมเป็นคนขยันขันแข็งมาก เวลาผมมองคุณพ่อจะมองเห็นผู้ชายที่เท่มากคนหนึ่ง เพราะเขายากจนแต่ตั้งใจทำงานจนทำให้ลูกมีชีวิตดีได้ แต่ผมก็เห็นคุณพ่อดื่มเหล้าเมาแล้วอาละวาดมาตลอด และรู้สึกไม่ชอบ จนกระทั่งผมเริ่มเปิดใจที่จะทำความเข้าใจเขา จึงรู้ว่าเขาดื่มเพราะมีความเครียด ถามว่าผิดไหมที่เขาเป็นคนเครียด ผิดไหมที่คาดหวังกับลูก คาดหวังกับชีวิต มันไม่ผิดเลย ถ้าเขารู้ว่ามีทางเลือกอื่นนอกจากการดื่มเหล้า เขาก็คงไม่ดื่ม ถ้ามีคนช่วยเตือน มีคนที่เข้าใจ เขาก็คงไม่เป็นแบบนี้
เพราะฉะนั้นแม้ว่าคุณพ่อจะยังดื่มเหล้าอยู่ แต่ผมก็พยายามเข้าใจเขา ผมเชื่อว่าหัวใจหลักของการช่วยเหลือเขาเริ่มจากมีความสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้นทุกครั้งที่คุณพ่อกลับบ้าน ผมจะเป็นคนหนึ่งที่นั่งฟังเขา ช่วยเยียวยาเขา เราไม่จำเป็นต้องเป็นนักจิตวิทยาก็ได้ แต่เป็นลูก เป็นคนที่เขารู้สึกว่ามีพื้นที่ที่สามารถระบายความในใจ อยู่กับเขาก็พอ
จุดเปลี่ยนอยู่ที่ตอนคุณพ่ออายุ 70 วันหนึ่งแม่ผมบอกว่าพ่อล้มเพราะเมา ไม่มีใครดูแล แม่เองก็ไม่อยากดูแล ผมกลับไปถึงบ้านเจอพ่อเป็นแผลเลือดออก ก็พาไปหาหมอ ช่วยดูแลร่างกาย ถามพ่อว่าเกิดอะไรขึ้น ล้มเพราะอะไร พอคุณพ่อตอบ ผมก็ถามต่อว่าแล้วรู้ไหมทำไมทุกคนไม่มาดูแลพ่อ พ่อบอกว่าพ่อไม่รู้ ผมเลยเปิดคลิปวิดีโอที่เคยอัดไว้ตอนคุณพ่อเมาให้เขาดู เขาดูจบก็บอกว่ารู้สึกแย่ ละอายใจ เขาจำไม่ได้ว่าทำอะไรตอนเมาเพราะคนดื่มเหล้าจะมีภาวะ Black-Outs Drunk หรือเมาจนภาพตัด สมองเสื่อมชั่วขณะทำให้จำอะไรไม่ได้
พอผมถามพ่อต่อว่าจะเอาอย่างไร พ่อก็บอกว่าเขาจะเลิก เดิมทีพ่อผมก็ไม่ได้ดื่มเหล้าทุกวัน และเขาเป็นคนนิยมความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) พอเขารู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี เขาก็อยากจะเปลี่ยน ผมช่วยให้เขาไปพบจิตแพทย์ ให้ยาตามอาการ หลังๆ เขาก็เลิกได้เอง จากอายุ 70 พ่ออยู่กับผมจนถึงอายุ 83 ปีถึงเสีย ตลอด 13 ปีที่เหลือ เขาไม่เคยกลับไปดื่มเหล้าอีกเลย
โดยรวมแล้ว วิธีการของผมคือให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ก่อนการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าความสัมพันธ์ดี ทำให้คนมีความต้องการอยากเปลี่ยน และจะเปลี่ยนได้ ผมเชื่อว่าคนจะเลิกเหล้าต้องมีความตั้งใจและมีคนคอยช่วยเหลือ ให้กำลังใจ อย่างผมเองก็ชมคุณพ่อมาตลอดตั้งแต่ตอนเปิดใจคุยครั้งแรกว่าสำหรับผม พ่อคือฮีโร่ พ่อคือคนที่ผมอยากเป็นมากที่สุด ก่อนหน้านี้ที่ผมเกลียดคุณพ่อ ลึกๆ เป็นเพราะผมรักเขา ในทางจิตวิทยา ถ้าเราเกลียดใครในครอบครัว เพราะเดิมเราเคยรักเขามาก่อน เคยให้ความสำคัญกับเขา เราอยากให้เขาเห็นความสำคัญของเรา แต่เขาไม่เคยทำ จนทำให้เราอยากตัดขาดความสัมพันธ์ คุณพ่อของผมก็มักจะบอกว่าผมไม่ได้เรื่อง แต่สุดท้ายผมได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าได้เรื่องสำหรับเขา ทำให้เขายอมรับและภูมิใจได้ เราทุกคนก็มีความสุข
:: ถึงญาติผู้ติดเหล้า ::
ถ้าญาติอยากช่วยเหลือคนติดสุราในบ้าน ควรเข้าใจหลักการหรือปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างถึงจะดีต่อตัวผู้ดื่ม และไม่ทำให้ตัวเองเครียดเกินไป
ข้อแรกญาติต้องเข้าใจเรื่องการติดเหล้า ว่าคนติดเหล้าไม่ได้ตั้งใจอยากจะติด แต่เลิกไม่ได้เพราะสมองเสพติดไปแล้ว ต่อมาคือต้องเข้าใจตัวเอง เป็นคนที่เห็นคุณค่าในตัวเอง ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เวลาคุยอย่าไปตัดสินคนติดเหล้า ให้ถามว่าเหนื่อยไหม ทรมานไหม ทำความเข้าใจว่าเขากำลังเป็นอย่างไร แล้วถามต่อไปว่าอยากให้ช่วยเหลืออย่างไร แนะนำตัวช่วย เสนอช่องทางให้เขา พาไปหาหมอด้วยกัน ทำอย่างนี้แล้วจะช่วยให้คนเลิกเหล้าได้สำเร็จ
อีกเรื่องหนึ่งคือต้องไม่คุย ไม่ทะเลาะกับคนเมา ต้องเข้าใจหลักของ Black-Outs Drunk ว่าความจำเสื่อมชั่วขณะ การดูแลตอนเขาเมาจนภาพตัดมันเหนื่อยฟรี ทะเลาะกันฟรีๆ ดังนั้นไม่ต้องพูดอะไร ไม่ต้องดูแล ปล่อยให้เขาเมา อาเจียน ตัวเหม็น แล้วตื่นมาเห็นสภาพของตัวเอง เขาจะรู้สึกว่าเราเป็นขนาดนี้เลยเหรอ เราเป็นอะไรไป ถึงไม่มีใครตำหนิแต่เขาจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอาย
ถ้าที่ผ่านมาทุกคนไม่เคยปล่อยให้เขาเห็นสภาพของตัวเอง มัวแต่ปกป้องดูแล เขาจะไม่มีทางเปลี่ยน ฉะนั้น พ่อ แม่ ลูก ภรรยาต้องหยุดพฤติกรรมการเสริมแรงทางอ้อม หยุดปกป้องเขาไม่ให้เจอผลเลวร้ายจากการดื่ม ต้องปล่อยให้เขาเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา โดยที่เราไม่ต้องดุด่าเขา พอสร่างเมา เราแค่ถามเขาว่ารู้สึกอย่างไรกับตัวเอง หิวข้าวไหม ดูแลเขาเหมือนคนปกติ ทำความดีในตอนที่เขารับรู้ ไม่ใช่ตอนเมา ทำแบบนี้ญาติเองจะไม่เหนื่อย การช่วยเหลือคนติดเหล้าอย่าทำจนตัวเองไม่ไหว อย่าทำจนกลายเป็นการทรมานตัวเอง เราต้องหันกลับมาดูแลตัวเองด้วย
เรื่องและภาพ: ทีมงาน Alcohol Rhythm