“การเลิกเหล้ามันไม่ได้ทำให้คุณฉลาดขึ้นในทันทีทันใดหรอก แต่มันจะสอนคุณอย่างหนักหน่วงไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะโง่น้อยลงไปเอง”
คงมีไม่กี่คนที่ผ่านประสบการณ์การติดเหล้ามาตั้งแต่เจ็ดขวบจนพาชีวิตซัดเซแทบลุกยืนไม่ไหว แต่เมื่อตั้งหลักได้ก็ตัดสินใจนำเรื่องราวความพินาศในชีวิตมาเล่าเป็นความเรียงผ่านหนังสือเปี่ยมอารมณ์ขันแบบที่ แอมเบอร์ โทเซอร์ ทำได้ อาจเป็นเพราะความได้เปรียบอย่างหนึ่งคือเธอมองโลกในแง่ดี และลำดับต่อมา เธอมีเซนส์ขำขัน -ไม่ว่าจะเมาหรือไม่เมา- อันหาได้ยาก ซึ่งทั้งสองข้อนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ Sober Stick Figure หนังสือชีวประวัติของเธอที่เล่าถึงชีวิตล้มลุกคลุกคลานหลังติดเหล้าของเธอกลายเป็นหนังสือขายดีและเปิดเปลือยชีวิตของคนที่ใช้เวลาครึ่งหนึ่งของวันหมดไปกับการประคองสติกับประคองแก้วเหล้า
“ครั้งแรกที่ฉันได้ลองดื่มแอลกอฮอล์คือตอนอยู่ในบ้านคุณย่า อายุสักเจ็ดขวบได้ คุณลุงวูดดีเอาเบียร์ให้ฉันลองมาจิบๆ ดูซึ่งฉันคิดว่ารสชาติมันอย่างกะฉี่เปรี้ยวๆ แน่ะ อ้อ ฉันรู้ว่าฉี่รสชาติเป็นยังไงเพราะฉันเป็นเด็กบ๊องๆ น่ะ ในตอนนั้นนะ” โทเซอร์เขียนในหนังสือ Sober Stick Figure
ประเด็นคือ ตัวโทเซอร์ในวัยเจ็ดขวบซึ่งเป็นเด็กบ๊องๆ ไม่คิดสักนิดว่าการได้ลองชิมเบียร์แถมยังไม่ประทับใจรสชาติเหมือนฉี่ของมันเท่าไหร่ จะกลายมาเป็นประตูบานสำคัญที่ทำให้เธอในวัยผู้ใหญ่หมกมุ่นกับการดื่มเหล้าและเบียร์แทบไม่ว่างเว้นแต่ละวัน
เธอเติบโตในรัฐโคโลราโดท่ามกลางญาติมิตรและเพื่อนบ้านนักดื่ม แม้พวกเขาจะไม่ได้เชื้อเชิญให้เธอเข้ามาร่วมวงลองจิบทุกครั้งที่เปิดขวด แต่การห้อมล้อมและเห็นบรรยากาศเช่นนั้นตั้งแต่เด็กก็มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้เธอโตมาพร้อมกับกำขวดเบียร์ไว้ในมือไม่ห่าง รู้ตัวอีกที เธอและคนรอบตัวก็นิยามว่าโทเซอร์กลายเป็น “คนติดเหล้า” อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
เช่นเดียวกับคนติดเหล้าอีกหลายล้านคนบนโลก โทเซอร์พบปัญหาสุขภาพที่ดิ่งลงเหวอย่างไม่อาจเยียวยาแก้ไข บวกกับความกดดันหลังพยายามห่างจากแอลกอฮอล์ ที่ยิ่งพยายามหักดิบมากเท่าไหร่ยิ่งกลายเป็นว่าเธอกลับไปหามันอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้นเท่านั้น
คนรักของเธอในเวลานั้นพยายามรับมือกับโทเซอร์ที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ และตัวติดหนึบกับเหล้า (เผลอๆ อาจจะมากกว่าเขา) จนต้องแยกย้ายกันไปอยู่คนละทิศคนละทาง ประกอบกับความรู้สึกเคว้งคว้างของชีวิตหลังย้ายมาอยู่ตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ เผชิญเหตุการณ์ 911 ที่สั่นสะเทือนสหรัฐฯ โทเซอร์พบว่าทางออกเดียวที่เธอควานหาให้ตัวเองได้ในเวลานั้น คือการดื่มให้หนักกว่าที่เคยเพื่อให้ปัญหาทุกอย่างมันจางลงไปเอง
แน่นอนว่านั่นไม่ได้ผล หรือถ้าได้ผลก็แค่ในระยะสั้นเท่านั้น “ฉันรู้มาตลอดว่าพวกคนติดเหล้าน่ะเพี้ยนทั้งนั้นแหละ เราหมกมุ่น เรามีความในใจมากมาย และพยายามดื่มเหล้าเพื่อกลบฝังความในใจพวกนี้ให้เงียบไป ความกระหายที่จะดื่มนั้นแสนแข็งแรง เราจะดื่มจนกว่าจะสลบเหมือดไปเอง และก็นะ พอได้ลองดื่มแก้วแรก เดี๋ยวแก้วที่สองสามก็จะตามมาอีกเพียบ ร่างกายและจิตใจของพวกเรา -คนติดเหล้า- น่ะแตกต่างไปจากพวกคนปกติไปหลายช่วงตัวเลยล่ะ”
ภาวะติดเหล้าของโทเซอร์นั้นเลวร้ายลงเรื่อยๆ เธอเคยใช้เวลาดื่มเหล้าติดต่อกันหกเดือนทุกคืนแบบไม่ให้ตับได้พักผ่อน ซึ่งเธอบอกว่าเอาเข้าจริงก็จำเหตุการณ์ เรื่องราวอะไรในช่วงเวลานั้นไม่ได้มากนัก สิ่งเดียวที่เธอจำได้ก็แค่ “ตื่นขึ้น” กับ “โผล่มาผับสักแห่ง” แล้ววนเป็นวัฏจักรชีวิตยาวนานครึ่งปี
“มีอยู่ครั้งนึง ฉันตื่นขึ้นบนรถไฟในโคนีย์ ไอส์แลนด์ ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว ฉันเป็นแค่ผู้โดยสารเพียงคนเดียว แต่ก็นะ ฉันได้แต่บอกตัวเองว่ายังไงซะก็อยากมาที่นี่ตลอดเวลาอยู่แล้ว” เธอเล่า
“สภาพจิตใจฉันย่ำแย่ มีภาวะวิตกกังวล บางทีก็คิดว่าคนต้องเกลียดเราแน่ๆ บางทีเราก็เกลียดตัวเอง แล้วพอเป็นอย่างนั้น เราก็ขอผ่อนคลายด้วยไวน์สักแก้ว เบียร์สักเหยือกหรือไม่ก็ผสมๆ กันมาเลยก็แล้วกันวะ และนั่นแหละ ความรู้สึกเป็นมิตร อบอุ่นที่แอกกอฮอล์มอบให้เราตั้งแต่เรากรอกมันเข้าปากแล้วไหลพรวดลงไปในช่องท้อง” เธอบอก
“ไอ้ความรู้สึกนั้นมันเหมือนสัมผัสจากพระเจ้าเลย เหมือนพระองค์มาลูบผมเรา บอกว่าไม่เป็นไรน่ะ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะดื่มแค่แก้วเดียวหรือสองแก้ว ซึ่งในกรณีของฉันคือสิบสี่แก้ว”
ความเศร้าคือ แม้เธอจะรู้ว่าแอลกอฮอล์และเหล้าสารพัดชนิดกำลังทำชีวิตเธอพัง แต่เธอก็ปล่อยมือจากมันไม่ได้จริงๆ และยิ่งทำให้เธอตกที่นั่งลำบากในการใช้ชีวิตจนถึงขั้นแทบจะล้มหมอนนอนเสื่อ ในทางกลับกัน มันก็ทำให้เธอเข้าอกเข้าใจคนที่ยังเลิกเหล้าไม่ได้
“เวลาคนทั่วไปบอกว่า ‘หยุดดื่มเหล้า หยุดใช้ยาพวกนั้นเถอะน่า เธอเลือกที่จะไม่ใช้พวกมันได้นี่ ใช้จิตสำนึกหน่อย’ ฉันก็สวนกลับไปทุกทีแหละว่า ‘เงียบเหอะน่ะ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ จงใช้สมองและตรรกะแบบปกติของตัวเองเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองไปเถอะ แล้วปล่อยให้พวกเราเมาเรื้อนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะหาทางออกได้เองก็แล้วกัน'” แต่ทั้งที่ตอบอย่างนั้น ตัวโทเซอร์เองก็รู้ว่ามันไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง เธอจึงตัดสินใจสมัครเข้ารับการบำบัดการเลิกเหล้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง… และก็รู้ในทันทีว่า ทำไมที่ผ่านมา หลายคน -รวมทั้งเธอ- ถึงเลิกเหล้าเองได้ยากลำบากเหลือเกิน
“ตอนต้องไปเข้ารับการบำบัดกลุ่มผู้ติดเหล้า ฉันฉุนจัดเลยตอนถูกประเมินว่าเป็นคนติดแอลกอฮอล์ และฉุนกว่าเดิมเพราะว่าทำอะไรแก้ไอ้ความฉุนนี้ไม่ได้เลย (หัวเราะ) แค่ต้องนั่งจมอยู่กับความเดือดดาลของตัวเอง เฝ้ารอให้ความรู้สึกมันหายไปเอง และหวังว่าจะไม่ไปทำใครเจ็บตัวเข้าระหว่างเข้ารับการบำบัด และนั่นแหละที่ฟาดฉันเข้าอย่างจัง เพราะทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างมันผ่านไปได้คือต้องดื่มไง! ดื่มให้ความรู้สึกพวกนี้มันหายไป ลองนึกภาพโลกที่ไม่มีคนเมาสิ เราคงฆ่ากันตายไปแล้ว”
แต่ทั้งที่ลำบากและแทบจะลุกไปทุบผู้ร่วมบำบัดด้วยความหงุดหงิดจากอาการอยากแอลกอฮอล์ โทเซอร์ก็รอดจากมันมาได้หลายปีแล้ว ทุกวันนี้เธอใช้ชีวิตเป็นนักเขียนอิสระกับเดี่ยวไมโครโฟนหญิงที่ขึ้นแสดงในผับเล็กๆ ซึ่งต่อให้เธอต้องเผชิญหน้ากับถังเหล้าขนาดยักษ์ในผับที่ขึ้นแสดงทุกวัน มันก็ไม่อาจสั่นสะเทือนอะไรเธอได้อีกแล้ว
“การดื่มเหล้ามันมีแต่กอบโกยไปจากเรา การเลิกเหล้านั้นมีแต่ให้ ความรื่นรมย์ที่ฉันพบระหว่างการพยายามเลิกเหล้ามันดียิ่งกว่าการใช้ยาหรือแอลกอฮอล์ตัวไหนอีก ความรื่นรมย์เล็กๆ น้อยๆ ทว่าแสนสวยงาม เราไม่ต้องพบเจอกับอาการเมาค้างนรกแตก ไม่ต้องคอยจัดการชีวิตแหลกเหลว และฉันก็ไม่ต้องตกเป็นทาสของสิ่งที่พร้อมจะฆ่าฉันให้ตายอีกต่อไป”
ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=R0gtJKnEwdE
https://joinclubsoda.com/product/sober-stick-figure-by-amber-tozer/#
https://www.huffpost.com/entry/sober-stick-figure-a-unique-and-hilarious-story-of_b_577bfd63e4b00a3ae4ce64ef?guccounter=1
เรื่องและภาพ: ทีมงาน Alcohol Rhythm