บทบันทึกการเลิกเหล้าของยอดนักดนตรีปากมอมแห่งยุคสมัย ‘จอห์น เมเยอร์’

April 9, 2020


ไม่ว่าคุณจะเป็นคอเพลงสากลหรือไม่ คุณน่าจะเคยได้ยินเนื้อเพลงหวานซึ้งตีคู่มากับเสียงกรีดกีตาร์ชวนใจสลายอย่าง Gravity, Heartbreak Warfare, Never on the Day You Leave หรือ Who Says ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบทเพลงของ ‘จอห์น เมเยอร์’ (John Mayer) ที่ถล่มชาร์ตเพลงมาแล้วตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปัจจุบัน 

แต่ใครจะเชื่อว่าจอห์น เมเยอร์ ผู้อยู่เบื้องหลังเพลงรักเหล่านี้ คือคนเดียวกับเจ้าของวีรกรรมชวนเวียนหัว วาทะแสบคัน อารมณ์ขันล้ำลึกและประสบการณ์ติดเหล้าแบบงอมแงม!

ในอดีต เด็กชายเมเยอร์เติบโตมาในครอบครัวเชื้อสายยิวและค่อนข้างผูกพันกับวัฒนธรรมแบบศาสนายูดาห์ (judaism) ความหลงใหลในดนตรีของเขาเริ่มต้นขึ้น เมื่อเมเยอร์ได้มีโอกาสดูฉากที่ ไมเคิล เจ ฟ็อกซ์ โซโล่กีตาร์ระเบิดระเบ้อในหนัง Back to the Future (1985) ก่อนจะถลำลึกเมื่อฟังเทปเพลง (ที่เพื่อนบ้านให้ยืมมาอีกที) ของนักดนตรีบูลส์ระดับตำนานอย่าง สตีวี เรย์ วอห์น จนเจ้าหนุ่มมุ่งมั่นจะเดินทางสายนี้อย่างเต็มตัว และลงเอยด้วยการไม่เข้าเรียนวิทยาลัยเพื่อจะไปลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัยดนตรีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

สามปีต่อมา ปฐมบทความสำเร็จแบบสุดขีดของเมเยอร์เริ่มขึ้น เมื่ออัลบั้มสตูดิโออัลบั้มแรก ‘Room for Squares’ ถูกปล่อยมาในปี 2001 และทำยอดขายถล่มทลาย และในช่วงนี้เองที่เมเยอร์ระบุออกสื่ออยู่บ่อยๆ ว่าเขานั้น “หลีกเลี่ยงการเสพยา ดื่มเหล้า เข้าผับ งานสังคมไฮโซหรืออะไรต่อมิอะไรก็ตามที่ทำให้เขาไขว้เขวจากงานเพลง” แต่ในปี 2006 เขาก็บอกหน้าตาเฉยว่าแสนจะสุขใจกับการปุ๊นกัญชา (อ้าว) แถมยังควง เจสสิกา ซิมป์สัน นักแสดงสาวสุดเซ็กซี่ในฐานะคนรัก (อ้าว -อีกครั้ง) หลังจากนั้น ก็ดูเหมือนว่าจอห์น เมเยอร์ จะแจ้งเกิดในฐานะนักดนตรีตัวเอ้ของอุตสาหกรรมเพลงอเมริกา

เมเยอร์ได้รับฉายาว่าเป็น ‘มนุษย์ปากมอม’ (blabbermouth) คนหนึ่ง จากบทสัมภาษณ์สุดก๋ากั่นของเขา ทั้งการบอกว่าซิมป์สัน คน (เคย) รักของเขาเด็ดดวงเรื่องเซ็กซ์มาก (“ผมยอมขายบ้านขายรถเพื่อจะได้อึ๊บเธอเลยเอ้า!”), ออกรายการใหญ่ยักษ์อย่าง The Ellen Show แล้วบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังว่า “สามสิ่งที่ผมต้องทำทุกวันคือชงกาแฟก่อนมื้อเช้าจะเสร็จในไมโครเวฟ ออกกำลังกายและดูรูปโป๊!” (แถมย้ำว่า “ทุกวันครับ”) หรือเปิดเผยว่า การปลดปล่อยตัวเองจากอาการตีบตันไอเดียในการเขียนเพลงคือการ เอ่อ… ช่วยตัวเอง (อะแฮ่ม) ซึ่งเขาทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพที่ดีและสมองที่ปลอดโปร่ง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเขียนเพลง 

แต่ถึงอย่างนั้น ตัวช่วยในการเขียนเพลงของเมเยอร์ก็ไม่ได้มีแค่สมองปลอดโปร่งและหัวโล่งๆ อย่างเดียวเท่านั้น เมื่อถึงในจุดหนึ่ง เขาก็พบว่าสิ่งที่ทำให้เขาหัวแล่นได้มากพอคือ เหล้าและเบียร์จำนวนมากที่สะสมเป็นลังอยู่ในห้องครัว แม้เขาจะไม่เคยมีข่าวคราวเมาเรื้อนหรือก่อคดีใหญ่โต (ส่วนมากที่เป็นข่าวก็แค่วาทะชวนขมวดคิ้ว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเพราะเมา) แต่ถึงจุดหนึ่ง แอลกอฮอล์ส่งผลต่อร่างกายเขาโดยตรง โดยเฉพาะเส้นเสียงที่บอบช้ำสุดขีดจากการกรอกเหล้าเข้าปากอยู่บ่อยๆ บวกกับการกินอาหารไม่ตรงเวลาที่ทำให้เขาทรมานกับโรคกรดไหลย้อนอยู่นานนับเดือน ซึ่งหนักหนาจนขัดขวางการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา

“ผมเข้ารับการรักษาหลากหลายวิธีมาก” เมเยอร์ว่า “แต่มันไม่ได้ผลเลย จนผมอยู่ในช่วงพักการใช้เส้นเสียงที่ทำให้ผมต้องงดดื่มเหล้า งดการกินอาหารรสจัด และงดพูด ตลอดทั้งเดือนกันยายนนั้นผมไม่ได้ปริปากพูดเลยสักกะคำ ผมต้องพกคีย์บอร์ดบลูทูธไว้กับตัวเพื่อพิมพ์สื่อสารสิ่งที่อยากบอก อ้อ แล้วทั้งเดือนนั่นผมก็ต้องจิ้มที่เมนูเพื่อสั่งอาหารตลอดเลย”

แต่หนทางการเลิกเหล้าไม่ได้ง่ายนัก เมเยอร์หักดิบด้วยการปุ๊นกัญชาแทน (…) อย่างไรก็ตาม บทเรียนสำคัญที่เขาเรียนรู้เกี่ยวกับการดื่มเกินขนาดคือมันไม่มีจุดสิ้นสุด “มันทำให้ต้องถามตัวเองว่าเมื่อไหร่ถึงจะพอ” เขาบอก “ผมกำหนดปริมาณที่เหมาะสมทุกครั้งแหละเวลาดื่มเหล้าน่ะ แต่ไม่เคยสำเร็จเลย ผมรู้สึกเหมือนถลำลึกลงไปเรื่อยๆ แบบว่าขอสองแก้ว ต่อมาก็สามแล้ว ทีนี้นี่กำลังถือแก้วที่สี่ละ

“จำได้ว่ามีอยู่วันนึง ผมมองไปรอบๆ แล้วรู้สึกว่า นี่มันไม่ใช่ละ ต้องพักสักที‘”

จนในปี 2017 เมเยอร์ออกมาประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ว่า เขาเลิกเหล้าแน่นอนแล้ว แถมผ่านมาได้ตั้งปีนึงแล้วต่างหาก! “เมื่อหนึ่งปีก่อน ผมตัดสินใจว่าจะพักการดื่มเหล้าละ ซึ่งมันเป็นเรื่องส่วนตัวของทุกคนเลยนะ”

คืนที่เขาตัดสินใจจะเลิกเหล้าคือ งานปาร์ตี้วันเกิดอายุครบ 30 ของ เดร็ค แร็ปเปอร์ชื่อดัง ซึ่งเขาไปร่วมฉลองด้วยและฟาดเหล้าไปเต็มคราบ หนักขนาดที่ว่าเขาตื่นมาแล้วจำรายละเอียดอะไรแทบไม่ได้เลย แถมกินเวลานานหลายวันด้วย

“ผมต้องคุยกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นหว่า ก็จำได้นะว่าไปไหนมาบ้าง แต่ผมเมาค้างอยู่หกวันเต็มอะ! หนักขนาดนั้นเลย … ผมมองออกไปที่หน้าต่าง คิดในใจว่า เอาล่ะจอห์น มึงอยากจะมีชีวิตที่เต็มที่สักกี่เปอร์เซ็นต์วะ ถ้ามึงบอกเอาแค่ 60 เปอร์เซ็นต์ก็พอ มึงก็เอาไอ้อีก 40 เปอร์เซ็นต์ไปสนุกให้พับเลย ไม่เป็นไร แต่ถามจริงๆ นะว่ามึงอยากได้กี่เปอร์เซ็นต์แน่ มันมีคำตอบเดียวว่ะพวก แม่งคือร้อยเปอร์เซ็นต์‘”

“ผมจำได้ว่าทุกวันศุกร์และวันเสาร์ ส่วนมากแล้วผมจะโพสต์บอกทุกคนในทวิตเตอร์ว่าดื่มหนักแค่ไหน จนผมถามตัวเองว่า มันจะเป็นยังไงถ้าเช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์ ผมตื่นขึ้นมาเอาเท้าสัมผัสพื้นและไม่เมาค้าง จากนั้นก็ประกาศให้ทุกคนรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งมันเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนได้นะ เพราะผมว่าคนเราชอบลืมไปว่าคุณก็มีทางเลือกที่จะไม่ดื่มนี่หว่า ถ้าคุณมองการดื่มเหล้าแบบเดียวกับที่มองอย่างอื่น ซึ่งถ้าทำสำเร็จจะมีรางวัลตอบแทน ระหว่างนั้นคุณก็จะถามตัวเองว่า แล้วถ้าล้มเลิกซะตอนนี้จะเป็นยังไงนะ หรือถ้าไม่ยอมแพ้แล้วจะได้อะไร ประมาณนั้นน่ะครับ

“อีกอย่างนะ ผมโชคดีด้วยล่ะ ผมไม่รู้คนอื่นเป็นยังไง ผมเลิกเหล้าได้เด็ดขาดและเรียบๆ เหมือนตอนที่ ฟอร์เรสต์ กัมป์ วิ่งข้ามรัฐแล้วตัดสินใจว่าจะหยุดวิ่งละ แบบนั้นเลย

“การห่างจากแอลกอฮอล์ จะแค่สองสัปดาห์ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว โดยเฉพาะเมื่อคุณตกอยู่ในสถานะที่ดื่มเกินปริมาณที่ควรต่อวัน” เขาแนะนำ “ปีต่อมาผมต้องเล่นคอนเสิร์ตสี่ที่ วงดนตรีอีกสองวง และมีความสุขเอามากๆ นี่แหละคือผลของการหยุดดื่มเหล้า แรกเริ่มคุณจะรู้สึกเบื่อเป็นบ้า แต่พอผ่านมันมาได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่นขึ้นเอง” เขาตบท้าย

 

เรื่องและภาพ: ทีมงาน Alcohol Rhythm

Related Articles